ตอนที่ 8 ซื้อเสื้อผ้า
สามแม่ลูกเดินเท้าเข้ามาในตลาดระหว่างทางมีเกวียนเทียมวัวแล่นผ่าน นางกับลูกขอขึ้นไปนั่งด้วย แต่ชาวบ้านไม่ยอมให้นางกับลูกขึ้นไปนั่งแม้แต่คนเดียว ปรารถนากับลูกจึงใช้เวลาเดินเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงมาถึงตลาด
วราลีกระซิบบอกปรารถนาอยู่ข้างหูให้นำทองไปขายในร้านที่ให้ราคาดีที่สุด ‘ไปขายร้านเถ้าแก่เส็ง’
ปรารถนาพยักหน้ารับทราบจากนั้นรีบสาวเท้าจูงมือลูกทั้งสองตามไป เสื้อผ้าของพวกเขาสามแม่ลูกดูไม่ดีนัก อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นอับจนเจ้าตัวรู้สึกได้ หลังจากขายทองเสร็จแล้วนางจะรีบกลับไปจัดการสักที
นางเลี้ยวเข้าร้านเถ้าแก่เส็ง หน้าร้านมีแผ่นไม้ขนาดใหญ่สลักคำว่า ‘เดือนเพ็ญ 5’ ชื่อร้านอาจจะมาจากชื่อภรรยาของเถ้าแก่ ปรารถนาคาดไว้เช่นนั้น ภายในมีลูกค้าต่อคิวกันอยู่ประมาณสองคน
พอถึงคิวของปรารถนาเถ้าแก่เส็งมองดูสามแม่ลูกที่ยืนมองเขาตาปริบ ๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะถามเสียงเรียบ “จะมาขออะไรอีกละ” ปกติสามแม่ลูกนี้ชอบมาขอข้าวขอน้ำกินอยู่ร่ำไป “วันนี้ภรรยาของข้าไม่ได้ทำอาหารให้ด้วยสิ มีแค่ซาลาเปาเพียงสามชิ้นเท่านั้น พวกเจ้าเอาไปแบ่งกันก็แล้วกัน” เถ้าแก่ว่าพลางหันไปหยิบซาลาเปาที่วางอยู่ในจานด้านหลัง
ปรารถนารีบกล่าวใบหน้าเปื้อนยิ้ม “วันนี้ข้าไม่ได้มาขอข้าวกินเจ้าค่ะ” อย่างน้อยในตลาดนี้ก็มีเถ้าแก่เส็งที่ใจดีมีเมตตาต่อนางกับลูก
“เช่นนั้นเจ้ามาทำสิ่งใด”
“ข้าเอาทองมาขายเจ้าค่ะ”
“เอาออกมาสิ เจ้ามีเท่าไร” สามสี่คนที่มาขายทองวันนี้รวมกันยังไม่ถึงสิบกรัมด้วยซ้ำ
ปรารถนาคลี่ผ้าที่ห่อทองออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะด้านหน้าเถ้าแก่ “นี่เจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ชมดูด้วยตาเบิกกว้างขึ้น “หนักเท่าไรกันเนี่ย น่าจะเกือบสองร้อยกรัมทีเดียว เจ้าไปร่อนเองรึ” การร่อนทองถือเป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง ใครโชคดีคนนั้นก็ได้มาก นางคงเป็นหนึ่งในนั้น
“เจ้าค่ะ”
“โอ ช่างประเสริฐจริง ๆ” ดวงตาเถ้าแก่วาววาม ยิ่งเขารับซื้อทองได้มากเท่าไร เขาจะได้ค่าส่วนแบ่งจากเจ้าของร้านนอกเหนือจากเงินเดือนมากขึ้นเท่านั้น
เถ้าแก่รีบนำทองไปชั่ง เป็นไปดังคาด ทองหนักสองร้อยกรัมจริง ๆ
“เจ้ารวยแล้ว” เถ้าแก่เอ่ยอย่างยินดี
“คิดเป็นสองร้อยเหรียญทองใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มเพราะทองราคากรัมละหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงหรือเท่ากับหนึ่งเหรียญทองนั่นเอง
เถ้าแก่เส็งหัวเราะเฮฮาเมื่อได้ยินปรารถนาคำนวณเสร็จก่อนที่เขาจะแจ้งราคาเสียอีก “เจ้าควรเลิกเป็นขอทานแล้วไปทำอาชีพค้าขายเสีย” พูดพลางนับเงินใส่ถุงผ้าสีแดงให้นาง
และยังมีเสียงที่ส่งออกมาทางกระแสจิตด้วยว่า ‘นายหญิงเชื่อข้าหรือยังเจ้าคะ’
ปรารถนากับลูกสาวยิ้มจนตาหยี ทำให้ลูกชายพลอยยิ้มตามไปด้วยถึงยังไม่เข้าใจก็ตาม นางตอบผึ้งกลับไปว่า ‘อืม เจ้ามันเก่ง’ ผึ้งน้อยยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจที่โดนนายหญิงชื่นชม เงินสองร้อยเหรียญทองนางสามารถเลี้ยงลูกให้กินดีอยู่ดีได้ถึงหนึ่งปีเชียวละ แต่จะผ่าตัดประสาทหูของลูกชาย นางต้องใช้เงินมากถึงหกร้อยเหรียญทอง
เดินออกจากร้านเถ้าแก่เส็งปืนจึงสะกิดแขนแม่แล้วแหงนมองอย่างสงสัย ‘ท่านแม่เราขายทองได้เงินมากหรือขอรับ’
ปรารถนามองลูกชาย ‘ใช่ เราขายทองได้เงินมาก ข้าจะพาพวกเจ้าไปซื้อเสื้อผ้ากับรองเท้าคู่ใหม่’
นางบอกลูกแล้วจูงแขนลูกเข้าร้านขายเสื้อผ้าต่อ เพิ่งเดินเข้ามาก็มีเสียงพูดขึ้น “ที่นี่ไม่มีของสำหรับขอทานหรอกนะ ไปหาซื้อร้านอื่นเถอะ”
ลูกทั้งสองแหงนมองหน้าแม่แววตาเศร้าสร้อย “เราไปร้านอื่นก็ได้”
ว่าจบนางพาลูกเดินไปร้านถัดไป ร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเหมือนกับร้านที่นางเข้าไปเมื่อครู่ พนักงานขายผู้หญิงแต่งกายดูดีมองเห็นสามแม่ลูกขอทานเดินเข้ามาในร้านนางจึงกล่าวขึ้นทันที “พวกเจ้าสามคนจะมาขโมยสิ่งใดในร้าน จงรีบออกไปเสีย ก่อนที่ข้าจะแจ้งตำรวจ”
“แต่ข้ามาซื้อของ” นางแย้งขึ้น
พนักงานขายเบ้ปาก เปล่งวาจาเหยียดหยัน “หน้าอย่างเจ้าไม่มีเงินซื้อของร้านนี้หรอก”
ปรารถนายืนถอนหายใจ แม้มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้ทุกอย่าง นางกระตุกมือลูกทั้งสองข้าง “เราไปซื้อร้านอื่นกันเถอะ”
ปิ่นรั้งมือแม่ไว้ “ท่านแม่แต่เรามีเงินนะเจ้าคะ ทำไมเขาถึงไม่ขายของให้เรา”
“ไม่เป็นไร ร้านนี้ไม่ขาย ร้านอื่นย่อมขาย”
ปืนดึงชายเสื้อแม่อีกครั้งเพื่อถาม ‘เขาไม่ชอบที่พวกเราเป็นขอทานหรือขอรับ’
ปรารถนาหยุดเดินแล้วนั่งยองลง มือวางบนศีรษะลูกแล้วลูบปลอบโยน “ช่างพวกเขาเถอะ อย่าไปสนใจเลย”
‘ไปร้านนั้น’ วราลีที่อยู่บนไหล่เอ่ยบอก
‘แต่คนเยอะมากเลยนะ’
‘ไปเถอะ เชื่อข้า’ ผึ้งน้อยยังยืนยัน
ปรารถนาจูงมือลูกเข้าไปในร้าน ลูกค้าที่อยู่ในร้านต่างมองเหยียด แต่นางหาได้สนใจไม่ บางคนถึงกับยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองเพราะทนกลิ่นเหม็นของสามแม่ลูกไม่ได้
เจ้าของร้านเห็นลูกค้าเดินเข้ามาในร้านจึงเดินออกไปต้อนรับ นางเป็นหญิงอายุราวสี่สิบต้น กล่าวเสียงอ่อนหวานน่าฟังออกมา “เจ้ากับลูกมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่” สมแล้วที่ร้านนี้มีลูกค้าเข้าเยอะ
แม่ลูกมองหน้ากันแล้วยิ้มด้วยความยินดี คิดว่าวันนี้ต้องเดินหาซื้อเสื้อผ้าทั้งวันเสียแล้ว
“ข้าต้องการชุดกันหนาวของเด็กสองคนนี้เจ้าค่ะ”
“ของเจ้าด้วยหรือไม่”
“ด้วยเจ้าค่ะ แต่ข้าขอแค่เสื้ออย่างเดียวก็พอ”
“ตามข้ามาด้านนี้สิ”
ปรารถนาและลูกเดินตามเจ้าของร้านไป วราลีก็พูดจาโอ้อวดขึ้นมาอีก ‘เจ้าเชื่อข้าหรือยัง’
‘อืม เจ้ามันผึ้งวิเศษ’
ผึ้งน้อยทำท่ายืดอก ‘มันแน่นอนอยู่แล้ว’
เจ้าของร้านให้นางกับลูกเลือกเสื้อผ้าได้ตามใจ ปรารถนาได้ชุดให้ลูกชายหญิงคนละห้าชุดและรองเท้าคนละหนึ่งคู่
ลูกทั้งสองเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้า ใบหน้ายังยิ้มจนหุบไม่ลง
“ท่านแม่ทำไมซื้อเสื้อผ้าให้ข้ากับพี่ชายเยอะจังเลยเจ้าคะ”
“เสื้อผ้าของพวกเราเก่าและขาดหมดแล้ว” นางให้เหตุผล ไม่ได้ต้องการใช้จ่ายเงินเกินความจำเป็นแต่อย่างใด
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นปรารถนาจึงเดินไปซื้ออุปกรณ์การถักโครเชต์ ในส่วนของเข็มถักนางมีหลายขนาดแล้ว นางจึงเลือกซื้อเชือกสีต่าง ๆ ที่ไม่มีในมิติเท่านั้น ได้ของที่ต้องการแล้วจึงพาลูกไปซื้ออาหารกลับไปตุนไว้ที่บ้าน