บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ออกจากบ้านได้สำเร็จ

ตอนที่ 3

ออกจากบ้านได้สำเร็จ

เหยียนอี้หลาน รับรู้เรื่องที่ตัวเองตั้งครรภ์ หญิงสาวไม่ได้รู้สึกยินดีเหมือนพ่อเลี้ยง แต่กลับรู้สึกรังเกียจ ขยะแขยงร่างกายนี้ของตัวเองเป็นอย่างมาก มากจนไม่อาจทนมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไป

ดังนั้น หลังจากหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ หญิงสาวขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนอน แล้วลงมือผูกคอฆ่าตัวตาย โดยที่คนภายนอกไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอทำ

ดวงวิญญาณของหญิงสาวหลุดออกจากร่าง กลายเป็นดวงวิญญาณระเหเร่ร่อนไปตามกรรมที่เกิดจากการทำร้ายตัวเอง

หลังจากวิญญาณของเจ้าของร่างตัวจริง ไปชดใช้กรรม ดวงวิญญาณของมิริน ที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวในประเทศจีนยุค60-70ได้อย่างไร ก็ถูกดูดเข้าไปในร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ แทนที่ดวงวิญญาณของเจ้าของร่าง กลายมาเป็นเหยียนอี้หลานคนใหม่...

...โครม...

เสียงข้าวของหล่นกระทบพื้นในโบกี้รถไฟที่เหยียนอี้หลานหรือมิรินนั่งอยู่ ทำให้หญิงสาวที่นั่งเหม่อลอย คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาหลุดออกจากภวังค์ หันมาสนใจสิ่งรอบตัวก่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ ก็หันมามองออกนอกหน้าต่าง คิดทบทวนในสิ่งที่เธอตัดสินใจทำ หลังจากเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้น่าสงสาร

‘เหยียนอี้หลาน เธอกับฉัน ช่างมีชีวิตเหมือนกันเหลือเกิน มีแม่ก็เห็นผู้ชายดีกว่า หนำซ้ำยังต้องมาเจอพ่อเลี้ยงหื่นกามอีก เอาเถอะ ในเมื่อฉันมาอยู่ในร่างของเธอแล้ว พวกเราจะออกไปให้พ้นจากครอบครัวเฮงซวยนี้กัน’

เหยียนอี้หลานคนใหม่ คิดหาทางที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ แม้ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องพบเจอกับความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

หญิงสาวเริ่มเก็บออมเงิน ที่เป็นค่าขนม และเงินที่พ่อเลี้ยงให้เธอซื้อของบำรุงร่างกายเอาไว้ ในตอนที่ยังหาทางหนีไม่ได้ เพราะการเดินทางออกนอกเมืองในยุคนี้ ถูกทางการตรวจขันอย่างเคร่งครัด

และแล้วโชคชะตาก็เข้าข้างคนโชคร้ายอย่างเหยียนอี้หลานกับมิริน เมื่ออยู่ ๆ เธอก็ถูกคณะกรรมการหมู่บ้านเรียกไปพบ แล้วแจ้งข่าวว่าเธอมีรายชื่อถูกส่งตัวไปทำงานในชนบท

หญิงสาวรับทราบข่าวนี้ด้วยอาการสงบ ไม่แสดงอาการตีโพย งอแงไม่อยากไปเหมือนกับยุวชนหญิงสองสามคนที่ถูกเรียกตัวมาพร้อมกับเธอ

กลับรู้สึกยินดีเสียอีก ที่จะได้หลุดพ้นจากพ่อเลี้ยงหื่นกามและแม่ที่ไม่เอาไหนเสียที

อี้หลานเก็บเงียบ ปิดบังเรื่องที่เธอจะเดินทางไปชนบทเอาไว้ ลงมือจัดเตรียมเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น รวมไปถึงเงินทองที่เก็บสะสมไว้ รวมไปถึงสร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว มรดกตกทอดจากบิดาแท้ ๆ เอาไว้ให้ดูต่างหน้า เธอก็เอามาสวมใส่ติดไว้กับตัวตลอดเวลา ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้า ก็แอบนำออกมาตอนไม่มีคนอยู่บ้าน นำไปฝากบ้านเพื่อนเอาไว้ก่อน

เท่านั้นไม่พอ เธอยังลงมือเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง บอกเล่าเรื่องราวความเลวทรามของพ่อเลี้ยงที่กระทำต่อเธอและน้องสาว พร้อมกับทิ้งท้ายว่า ถ้าทางมหาวิทยาลัยไม่เชื่อ ให้มาพาน้องสาวของเธอไปตรวจร่างกายดูก็ได้

หลังจากเตรียมตัวพร้อม เธอก็เฝ้ารอวันเวลาที่จะออกเดินทาง และพยายามไม่ให้พ่อเลี้ยงกระทำย่ำยีเธอได้อีก โดยนำเด็กในท้องมาเป็นข้ออ้าง แกล้งปวดท้องบ้าง อะไรบ้าง พ่อเลี้ยงที่อยากได้ลูกมาก จึงยอมล่าถอย ไปทำอะไรกับน้องสาวของเธอแทน

จนมาถึงวันที่จะออกเดินทาง พ่อเลี้ยงออกไปทำงานแล้วตั้งแต่เช้า เธอจึงแค่บอกกล่าวมารดาว่าจะออกไปทำธุระนอกบ้าน ซึ่งมารดาก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ

อี้หลาน ออกจากบ้านมาได้อย่างง่ายดาย ไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากไว้บ้านเพื่อน นอกจากนี้ยังฝากให้เพื่อนสนิท นำจดหมายปิดผนึกไปมอบให้กับผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย โดยกำชับว่าห้ามไม่ให้ตกถึงมือพ่อเลี้ยงเธอเด็ดขาด ก่อนจะมอบเงินจำนวนหนึ่งเป็นสินน้ำใจให้เพื่อนสนิท จากนั้นก็เดินทางมาขึ้นรถไฟเดินทางออกจากเมืองต้าชิง ไปยังหมู่บ้านในชนบท ตามที่มีรายชื่อ รวมกับยุวชนชายหญิงคนอื่น ๆ อีกเก้าคน...

เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่ บอกกล่าวว่าใกล้จะถึงชานชาลาอันเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่ายุวชนชายหญิงแล้ว

เหยียนอี้หลานหรือมิริน ที่นั่งคิดแต่เรื่องราวร้าย ๆ ที่พบเจอ รีบดึงสติกลับคืนมา ลงมือเตรียมเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย พร้อมที่จะลงจากรถไฟ

หลังจากรถไฟจอดเทียบท่าเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลุกขึ้นหอบหิ้วกระเป๋าสองใบ ที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว อาจจะเพราะร่างกายนี้ซูบผอมลงไปมาก จากการตรอมใจของเจ้าของร่างกายคนเก่า ทำให้ท่าทางหอบหิ้วกระเป๋าของหญิงสาวดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปหน่อย

“ให้พวกผมช่วยนะครับ”

อี้หลาน ที่กำลังจะก้าวออกจากเบาะที่นั่ง แหงนใบหน้าขึ้นไปสนใจที่มาของเสียงพูด ก็เห็นว่ายุวชนชายสี่คน กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ จ้องมองเธอตาแทบไม่กะพริบ คิดจะเอ่ยปากปฏิเสธ ยุวชนชายหนึ่งในนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ท่าทางคุณเหมือนจะเพลีย ๆ ให้พวกเราช่วยเถอะ เดี๋ยวเป็นลมไป จะแย่เอานะครับ”

เมื่อยุวชนชายสี่คนเสนอตัวขนาดนี้ อี้หลานก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของพวกเขา ยอมให้คนเหล่านี้ช่วยถือกระเป๋าให้

ยุวชนชายทั้งสี่เอง ต่างรีบพากันยื้อแย่ง ที่จะช่วยถือกระเป๋า จนยุวชนชายสองคนเป็นฝ่ายได้เปรียบแย่งกระเป๋าไปถือได้สำเร็จ

“ผมชื่อเฉินลี่หานนะครับ” ยุวชนชายที่เป็นคนเสนอตัวคนแรก และได้กระเป๋าใบใหญ่ไปถือ ใช้โอกาสนี้แนะนำกับยุวชนหญิง ที่หน้าตาผิวพรรณสะสวยราวกับผู้ดี แม้ว่าร่างกายจะซูบผอมคล้ายคนป่วยไปบ้างก็ตาม

“ส่วนผมชื่อ อู๋หยางหลง ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ยุวชนชายที่แย่งกระเป๋าอีกใบไปได้ ก็ไม่น้อยหน้า รีบเข้ามาแนะนำตัวเช่นกัน

ยุวชนชายที่เหลือมีหรือจะยอม ถึงแม้จะไม่ได้ถือกระเป๋าช่วยสาวงาม ก็ยังเข้ามารุมล้อม แนะนำตัวเองกับยุวชนหญิงที่หมายตาเช่นเดียวกัน

“ผมชื่อ หลี่หมิงหยวน ถึงหน้าตาอาจจะไม่ดี แต่ว่า ผมรักใครรักจริงนะครับ” ยุวชนชายสวมแว่นสายตากล่าว ทำเอายุวชนที่เหลือ ทำท่าอาเจียนออกมาพร้อมกัน

“เจ้าแว่น อยากจะอ้วกวะ คุณอย่าไปฟังเลยนะ สนใจผมดีกว่า ผมชื่อ จางอี้ซือนะครับ ทำอาหารอร่อยมาก เอาไว้มีโอกาส จะทำของอร่อย ๆ ให้คุณเอง”

เหยียนอี้หลานเชื่ออยู่ว่าจางอี้ซือผู้นี้ น่าจะทำอาหารอร่อยจริง เพราะดูจากขนาดของลำตัวที่มีความกว้างมากกว่าความสูง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา ทำแค่เพียงแนะนำตัวเองกับคนเหล่านี้ตามมารยาทเท่านั้น

“ฉันชื่อเหยียนอี้หลาน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ”

เธอเดินลงจากรถไฟได้อย่างยากลำบากมากกว่ายุวชนหญิงคนอื่น ๆ เสียอีก เพราะยุวชนชายทั้งสี่ พากันมารุมล้อมแสดงความมีน้ำใจกับเธอ โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปช่วยยุวชนหญิงอีกห้าคนถือกระเป๋าเลยแม้แต่น้อย

นั่นทำให้อี้หลานตกเป็นเป้าสายตา และทำให้ยุวชนหญิงสามคนที่ลงจากรถไฟไปยืนรวมตัวกันอยู่ในชานชาลา หันมาสุมหัวซุบซิบนินทาด้วยความอิจฉาตาร้อน

“ดูยุวชนหญิงคนนั้นจะไม่ทุกข์ร้อนกับการต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทเลยนะ”

‘โจวจิ่งหลาน’ เป็นฝ่ายกล่าวนำขึ้นมาก่อน ดวงตาร้อนรุ่มไปด้วยไฟร้อน เธอเองนั้นเตรียมกระเป๋าสัมภาระมาหลายใบ แต่ยุวชนชายพวกนั้น กลับไม่มีน้ำใจคิดจะมาช่วยเธอบ้างเลย คงเป็นเพราะเธอสวยสู้ยุวชนหญิงคนนั้นไม่ได้

“แหม...จิ่งหลาน เป็นเธอจะทุกข์ร้อนไหมล่ะ มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น ถ้าเป็นฉันก็คงไม่ทุกข์ร้อนเหมือนกันนั่นแหละ”

‘หวังเจินหยาง’ สหายหมู่บ้านเดียวกับจิ่งหลานกล่าวขึ้น เธอเองก็อิจฉาในความสวยของอีกฝ่ายไม่น้อย

ยุวชนหญิงอีกคน ที่อยู่หมู่บ้านเดียวกับอี้หลาน หนำซ้ำยังเรียนโรงเรียนเดียวกันด้วย แอบอิจฉาอี้หลานมาตลอด เพราะชอบทำตัวเรียบร้อย อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม เรียกความสนใจจากผู้ชาย และยังมาแย่งผู้ชายที่เธอแอบหมายปองไปอีก

พอเห็นยุวชนหญิงสองคน ซุบซิบนินทาศัตรูหัวใจ ก็เข้าร่วมบทสนทนาด้วย

“นี้พวกเธอยังไม่รู้อะไร อี้หลานหล่อนนะร้ายจะตาย ชอบทำตัวนิ่ม ๆ อ่อนแอ เรียกร้องความสนใจจากผู้ชาย เท่านั้นไม่พอ ยังชอบแย่งแฟนของคนอื่น ขนาดแฟนของฉัน ยังถูกหล่อนแย่งไปเลย”

‘หลิวเฟยหง’ ใส่สีตีไข่เข้าไป ให้ศัตรูดูแย่มากที่สุดในสายตาของคนอื่น พอเห็นยุวชนหญิงทั้งสองจ้องมองเธอ ชั่งใจว่าจะเชื่อในคำพูดของเธอหรือไม่ จึงรีบพูดขึ้นมาต่อ

“ฉันรู้จักอี้หลานดี พวกเราเรียนโรงเรียนเดียวกัน อยู่หมู่บ้านเดียวกันอีก”

“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผู้หญิงแบบนี้พวกเราอย่าลดตัวไปยุ่งด้วยดีกว่า” จิ่งหลานกับเจินหยางแสดงสีหน้ารังเกียจ ท่ามกลางแววตาสะใจของหลิวเฟยหง ที่ทำให้คนมองศัตรูหัวใจไปในทางไม่ดีได้...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel