ตอนที่ 4 กลุ่มยุวปัญญาชน
ตอนที่ 4
กลุ่มยุวปัญญาชน
“อย่างกับว่าเขาจะอยากยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างนั้นแหละ”
‘จ้าวเฟยเฟย’ ยุวชนหญิงรูปร่างค่อนข้างท้วม พูดขึ้นมาลอย ๆ รู้สึกไม่ชอบใจสามคนนี้ตั้งแต่อยู่บนรถไฟแล้ว ชอบพากันพูดเรื่องคนนั้นที เรื่องคนนี้ที
‘เสิ่นอวิ๋นหรง’ ยุวชนหญิงตัวเล็กสะกิดแขนเพื่อนสนิทให้หยุดพูด กลัวสามคนตรงหน้าจะหมั่นไส้ แล้วเข้ามารุมทำร้ายเธอกับเพื่อน เพราะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น
“เธอจะกลัวอะไรหรงหรง ฉันพูดความจริงนี้นา”
เฟยเฟย เห็นท่าทางหวาดกลัวของเพื่อนสนิท ก็รู้สึกขัดใจ คนอย่างเธอไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว
“เข้าข้างกันมาก เธอก็คงเป็นประเภทเดียวกับอี้หลานละสิ เขาว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันมักมีแรงดึงดูดเข้าหากัน คงจะเป็นจริงดังว่า”
หลิวเฟยหง มองยุวชนหญิงที่พูดจาเข้าข้างศัตรู ด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะชักชวนเพื่อนใหม่ ให้ขยับตัวออกห่างจากยุวชนหญิงทั้งสอง
ทางด้านผู้ที่ตกเป็นหัวข้อบทสนทนา หลังจากเดินลงมาจากรถไฟได้ รับรู้ได้ถึงสายตาพิฆาตสามคู่ที่จับจ้องมองมา ก็รู้ในทันทีว่าสามคนนั้น น่าจะไม่ชอบขี้หน้าเธอ แต่ก็ยังส่งยิ้มอย่างมีไมตรีมาให้ เมื่อสามคนนั้นไม่ยอมรับไมตรีที่เธอยื่นให้ ก็ไม่ใส่ใจ เดินเข้าไปทักทายยุวชนหญิงสองคนที่เหลือ ซึ่งยอมยิ้มบาง ๆ ตอบกลับเธอมา
“สวัสดี ฉันชื่ออี้หลานนะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“สวัสดี ฉันชื่อเฟยเฟย ส่วนนี้อวิ๋นหรง เพื่อนสนิทฉันเอง”
จ้าวเฟยเฟย แนะนำตัวเองกับเพื่อนสนิทอย่างฉะฉานให้เพื่อนใหม่รู้จัก ไม่ได้นึกอิจฉาในความสวยอันโดดเด่นของยุวชนหญิงตรงหน้าแต่อย่างใด กลับรู้สึกถูกชะตาด้วยเสียอีก
ทางด้านอวิ๋นหรง แม้ไม่ได้พูด แต่ก็ฉีกยิ้มกว้างตอบกลับมา
บรรดายุวชนชาย ที่ยังยืนรายล้อมอี้หลานอยู่ เห็นหญิงสาวทักทายเพื่อนใหม่ ก็พากันแนะนำตัวเองตามมารยาทบ้าง ยิ่งทำให้ยุวชนหญิงสามคนที่เหมือนเป็นส่วนเกินไม่ชอบขี้หน้าอี้หลานกับเพื่อนใหม่ทั้งสองเข้าไปอีก
ระหว่างที่เหล่ายุวชนผู้เดินทางมาจากเมืองหลวง ยืนจับกลุ่มพูดคุยเรื่องทางบ้านกันอยู่นั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในชานชาลา ตะโกนเรียกหากลุ่มยุวชนท่ามกลางฝูงชนที่ยืนอยู่
“ยุวชนที่ถูกส่งตัวมาหมู่บ้านหยางหมิน ได้โปรดเดินมาทางนี้”
อี้หลานกับยุวชนคนอื่น ๆ หันไปสนใจเสียงเรียกของชายหนุ่มคนนั้น ที่ดูจากหน้าตาแล้ว อายุก็น่าจะไม่ห่างจากพวกเธอมากนัก
“เอากระเป๋ามาให้ฉันเถอะ เดี๋ยวฉันถือต่อเอง”
หญิงสาวหันกลับมาพูดกับยุวชนชายทั้งสอง ที่ยังคงถือกระเป๋าของเธออยู่
“ไม่เป็นไร ผมไม่หนักหรอก” เฉินลี่หานส่งยิ้มที่คิดว่าบาดใจสาวมากที่สุดมาให้
“ใช่แล้ว กระเป๋านี้หนักจะตาย ให้พวกเราถือให้นะดีแล้ว” อู๋หยางหลงรีบกล่าวสมทบ ไม่ยอมให้อีกคนทำคะแนนอยู่คนเดียว
“ก็ได้ ขอบคุณนะ”
อี้หลานขอบคุณยุวชนชายทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปหาชายหนุ่มแปลกหน้า ที่กำลังสอดส่ายสายตามองหาพวกเธออยู่
โจวจิ่งหลาน เห็นยุวชนชายอีกสองคน เดินตามอี้หลานต้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ช่วยถือของ ก็เลยร้องเรียก หวังว่าสองคนนั้นจะหันมาช่วยเธอถือกระเป๋าสี่ใบนี้บ้าง
“นี้สหายทั้งสอง ช่วยฉันถือกระเป๋าหน่อยสิ” เสียงหวานออดอ้อนอย่างมีความหวัง
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา แทบจะทำให้เจ้าตัวอยากจะร้องกรี๊ดออกมา หากไม่ติดว่าบริเวณนี้มีผู้คนอยู่เยอะ
“ไม่ล่ะ มือฉันเจ็บอยู่”
“เธออยากเอามาเยอะเอง ก็หิ้วเองสิ”
หมิงหยวนกับอี้ซือหันมาพูดกับยุวชนหญิงที่ร้องขอความช่วยเหลือจากตนจบ ก็พากันเลิกสนใจ วิ่งตามหลังไปเกาะติดกับอี้หลานต่อ
“ฮ่า ๆ”
จ้าวเฟยเฟย หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ไม่อายสายตาหลายคู่ที่หันมามองเธอ ภายในมือถือสัมภาระที่มากพอ ๆ กับของจิ่งหลานได้อย่างสบาย เดินผ่านยุวชนหญิงที่กำลังหน้าแตก เพราะถูกผู้ชายปฏิเสธไปอย่างสบายอารมณ์
“หน็อย นังบ้าหัวเราะไปก่อนเถอะ”
โจวจิ่งหลานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หน้าชาไปหมด และอับอายเกินกว่าจะอยู่บริเวณนี้ต่อได้นาน รีบหอบหิ้วสัมภาระของตัวเองอย่างทุลักทุเลตามหลังคนอื่น ๆ ไป ภายในใจเคืองขุ่นอี้หลานกับเฟยเฟยมาก จะหาทางเอาคืนในภายหลัง
“มากันครบแล้วใช่ไหม ฉันชื่อติงเฉิง หัวหน้าหมู่บ้านมอบหมายให้ฉันมารับพวกเธอ ถือกระเป๋าดี ๆ แล้วเดินตามฉันมา”
‘หานติงเฉิง’ ผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลกลุ่มยุวชน เดินนำหน้าทุกคนออกจากชานชาลารถไฟ ไปยังลานกว้าง ที่จอดเกวียนเอาไว้
“ยุวชนชายไปขึ้นเกวียนเล่มหน้าแล้วกันนะ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับยุวชนชายสี่คน ที่พากันเดินไปขึ้นเกวียนที่จอดอยู่ด้านหน้าสุด พร้อมกับสัมภาระทั้งหมด
“ส่วนผู้หญิงมาขึ้นเล่มนี้”
ติงเฉิงปีนขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งคนขับ ยุวชนหญิงคนอื่น ๆ ยืนทำใจอยู่สักพัก ถึงได้พากันค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียน ออกจะดูลำบากไม่น้อย
คงจะมีแต่อี้หลานกับเฟยเฟยเท่านั้น ที่ปีนขึ้นไปนั่งด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ติงเฉิงมองยุวชนหญิงทั้งสองด้วยสายตาพึงพอใจไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา กลุ่มยุวชนที่ถูกส่งตัวมา มักเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทนความลำบากไม่ได้ ชอบโวยวายโอดครวญ และมักจะดูถูกชาวบ้านว่าไร้การศึกษา ทำให้คนในหมู่บ้าน ไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับบรรดายุวชนเท่าใดนัก
หลังจากกลุ่มยุวชนทั้งชายหญิงขึ้นไปนั่งบนเกวียนแล้ว สารถีทั้งสองก็บังคับวัวให้ออกเดินทางจากอำเภออันหลิง ไปตามท้องถนนลูกรัง ใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมง วัวเทียมเกวียนก็มาถึงทางสามแยก ซึ่งเป็นเพียงถนนดินลูกรัง ปากทางเข้าหมู่บ้านหยางหมิน ที่หมายถึงประตูแห่งแสงอาทิตย์
วัวเทียมเกวียนขับเคลื่อนผ่านบ้านแต่ละหลัง จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่กว่าบ้านเรือนหลังอื่น ๆ มาก เพราะชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อเป็นบ้านพักให้กับบรรดายุวปัญญาชนที่ถูกทางการส่งตัวมา
“ถึงแล้ว พากันขนของแล้วตามมา ฉันจะพาเข้าไปในบ้าน”
หานติงเฉิง ลงจากเกวียนเป็นคนแรก พร้อมกับบอกกลุ่มยุวชนชายหญิง ให้ขนข้าวของของตัวเองลงมาจากเกวียน
คราวนี้หลี่หมิงหยวนกับจางอี้ซือ ไม่ปล่อยให้ลี่หานกับหยางหลงทำคะแนนได้อีก รีบเข้ามาแย่งยุวชนหญิงที่สวยที่สุด ช่วยถือกระเป๋าเข้าไปในบ้าน
“ขอบคุณค่ะ” เหยียนอี้หลาน ยิ้มแห้ง ๆ กล่าวขอบคุณชายหนุ่มทั้งสอง ก่อนจะรีบเดินตามทุกคนเข้าไปในตัวบ้าน
เหตุนี้ ยุวชนหญิงสามคนยิ่งพากันไม่ชอบน้ำหน้าของอี้หลานเพิ่มขึ้นไปอีก ต่างพากันซุบซิบกันไปตลอดทาง ว่ายุวชนเหยียนคงเป็นพวกคุณหนู หยิบจับทำอะไรไม่เป็น แม้แต่กระเป๋ายังถือไม่ได้ ต้องออดอ้อนให้คนอื่นช่วยถือ
พอทุกคนมายืนรวมกันอยู่ในห้องโถงแล้ว ติงเฉิงก็อธิบายให้ยุวปัญญาชนกลุ่มใหม่ฟัง ว่าภายในบ้านมีกี่ห้อง อยู่ด้วยกันกี่คน
“ในบ้านมีห้องอยู่สิบห้อง แบ่งเป็นห้องของผู้ชายห้าห้อง ผู้หญิงห้าห้อง แต่ละฝั่งมีห้องรวมสามห้อง ห้องเดี่ยวสองห้อง ใครอยากอยู่คนเดียว ต้องจ่ายค่าเช่าในแต่ละเดือนให้กับผู้ดูแลบ้านพัก โดยห้องรวม ต้องพักด้วยกันสองถึงสามคน”
“แล้วใครเป็นคนดูแลที่นี่ละ ฉันตกลงจะอยู่ห้องเดี่ยว ไม่ชอบนอนกับใคร”
หลังจากได้ยินว่ามีห้องเดี่ยว หลิวเฟยหงก็รีบสอบถามด้วยความสนใจ เพราะการอยู่รวมกับคนอื่น เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจมากสำหรับเธอ
“ฉันเป็นคนดูแลที่นี่เอง ถ้าอยากอยู่ห้องเดียวก็จ่ายค่าเช่ามาเดือนละห้าเหมา ถ้าอยากจ่ายเป็นปี ก็ปีละหกหยวน” ติงเฉิงหันอธิบายให้คนที่ยินยอมจะจ่ายค่าเช่า เพื่อแยกพักคนเดียว
ก่อนจะอธิบายเรื่องอื่น ๆ ออกมาต่อ บอกว่าภายในบ้านหลังนี้ นอกจากกลุ่มของพวกเธอแล้ว ยังมีกลุ่มยุวปัญญาชนที่มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เป็นชายห้าคน หญิงห้าคน แต่ยุวชนหญิงสามคน ทนทำงานให้คอมมูนไม่ไหว แต่งงานกับชาวบ้านไปแล้ว
เรื่องอาหารการกิน กลุ่มยุวปัญญาชนต้องรับผิดชอบตัวเอง รวมไปถึงการทำอาหาร หาบน้ำ หาฟืน จะรวมกลุ่มกันทำ หรือต่างคนต่างทำก็ได้ โดยที่ทางคอมมูนของหมู่บ้าน จะแบ่งอาหารมาให้กลุ่มยุวชนเพียงพอแค่สองเดือนเท่านั้น หลังจากสองเดือนไปแล้ว พอถึงหน้าเก็บเกี่ยว ยุวชนจะได้ส่วนแบ่งอาหารตามคะแนนที่เก็บได้
“มีใครไม่เข้าใจตรงไหนอีกไหม” ผู้ดูแลบ้านพักเอ่ยถามยุวชนชายหญิง ที่รีบพากันส่ายหน้า เพราะเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เมื่อไม่มีใครสงสัย ติงเฉิงจึงพูดขึ้นมาอีก
“เอาล่ะ ทุกคนมีเวลาพักสองวันก่อนลงงาน วันนี้ก็พากันแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ ใครเลือกที่จะอยู่ห้องรวมก็พากันขึ้นไปแบ่งกลุ่มเลือกห้องได้เลย ส่วนใครที่มีเงินจ่ายค่าเช่าอยากอยู่ห้องเดี่ยว ก็มาลงชื่อจ่ายเงินกับฉันก่อน”
มีเพียงสามคนเท่านั้น ที่ก้าวออกไปลงชื่อ คือหลิวเฟยหง กับยุวชนชายอีกสองคนที่ช่วยอี้หลานถือกระเป๋าลงจากรถไฟ
ส่วนอี้หลาน เธอเลือกที่จะอยู่ห้องรวมมากกว่า เพราะอยากเก็บเงินที่มีอยู่เอาไว้ใช้ในยามจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
“อี้หลาน เธอยินดีจะพักห้องเดียวกับพวกฉันหรือเปล่า” จ้าวเฟยเฟยหันมาชวนสหายคนใหม่ ที่เธอรู้สึกถูกชะตาด้วย
“ยิ่งกว่ายินดีเสียอีก” อี้หลานยิ้มกว้าง อย่างน้อยเฟยเฟยกับอวิ๋นหรง ดูจะเป็นมิตรกับเธอมากกว่ายุวชนหญิงอีกสองคนที่เหลือเสียอีก
ดังนั้น ยุวชนหญิงทั้งสามจึงถือกระเป๋า เดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อเลือกห้องรวม ที่ค่อนข้างกว้างกว่าห้องอื่น ๆ
ภายในห้อง มีเตียงเล็ก ๆ อยู่สามเตียง วางแออัดกันอยู่ พร้อมกับตู้เสื้อผ้าอีกสามใบ
หลังจากเก็บข้าวของใส่ตู้ของใครของมันแล้ว ทั้งสามก็พากันเอนกายทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนเพลีย
อี้หลานเลื่อนมือขึ้นมากุมหน้าท้องเอาไว้ จมดิ่งไปกับห้วงความคิดอีกครั้ง ‘ไม่รู้ว่าเด็กในท้องยังอยู่ หรือตายไปพร้อมกับอี้หลานคนเดิมแล้วนะ’...
