ตอนที่ 5 เข้าป่าและช่วยชีวิตเด็ก
ตอนที่ 5
เข้าป่าและช่วยชีวิตเด็ก
ตลอดระยะเวลาสองวันที่ยังไม่ต้องลงทำงาน อี้หลานชักชวนเพื่อนทั้งสอง ออกไปเดินสำรวจรอบหมู่บ้าน เพื่อดูว่าจะหาแหล่งอาหารอย่างอื่น มาจากไหนได้บ้าง
เพราะวัตถุดิบที่ได้รับแจกจากทางหมู่บ้าน มีเพียงข้าวฟ่างกับข้าวโพด ซึ่งข้าวฟ่างจะได้รับในปริมาณน้อยกว่าข้าวโพดมาก พอนำมาทำเป็นโจ๊ก ด้วยความที่ไม่คุ้นชินก็ทำให้กลืนลงคออย่างอยากลำบาก จึงจำเป็นต้องหาวัตถุดิบอื่นมาปรุงร่วมได้ เพื่อให้อาหารแต่ละมื้อน่ากินและได้รับสารอาหารอย่างอื่นด้วยนอกจากแป้ง
โดยปกติแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มยุวปัญญาชนสักเท่าไรนัก เพราะว่ายุวชนกลุ่มแรกที่เดินทางมาอยู่ในหมู่บ้านนั้น พากันถือตัวว่าเป็นคนที่ได้รับการศึกษา จึงไม่เห็นหัว พากันดูถูกชาวบ้าน นอกจากนี้ยังไม่เอาการเอางาน ให้ทำงานอะไรก็ทำแบบขอไปที
อี้หลาน เฟยเฟยกับอวิ๋นหรง จึงพากันเข้าหาชาวบ้านด้วยรอยยิ้มจริงใจ และท่าทางนอบน้อม เหมือนเด็กเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่มีความถือดีอยู่ในท่าทีที่เข้าหา จึงทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนทัศนคติหันมามองพวกเธอในทางที่ดีขึ้น ถึงขนาดขอซื้อไข่ไก่และผักสดมาได้จำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอให้อาหารมื้อต่อมากินได้ง่ายขึ้น
“ค่อยยังชั่ว มีไข่กับผักนำมาผสมกับโจ๊กข้าวโพด ทำให้กลืนลงท้องได้ง่ายหน่อย”
เฟยเฟย ที่จัดการโจ๊กข้าวโพดใส่ไข่และผักสด หมดก่อนสหายทั้งสองพูดโพล่งขึ้นมา แม้ว่าท้องจะยังรู้สึกหิว แต่เธอก็ต้องอดทน ไม่อย่างนั้นวัตถุดิบที่ได้รับแจกเพียงน้อยนิด จะหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งถ้ามันหมด เธอก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหาร จึงต้องประหยัดให้ได้มากที่สุด จนกว่าจะถึงเวลาสิ้นปี ที่ทางคอมมูนจะแจกจ่ายพืชผลทางการเกษตรให้
“ใช่เลย ขืนกินแต่โจ๊กข้าวโพดไปตลอด ฉันคงไม่มีแรงทำงานแน่”
อวิ๋นหรงเอง ก็เห็นด้วยกับสหายจ้าว ต่อให้ฝีมือการปรุงอาหารของเธอจะดีมากขนาดไหน แต่พอนำข้าวโพดมาต้มเป็นโจ๊ก มันก็กลืนลงคอได้ยากอยู่ดี
อี้หลาน ที่ลงมือกินโจ๊กข้าวโพด ฟังสหายทั้งสองพูดจากัน โดยไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วยนั้น รู้สึกว่าร่างกายของเธอ จะต้องการอาหารมากเป็นพิเศษ ปกติหากอยู่ในโลกเดิม เธอกินโจ๊กหรือข้าวต้มแค่ถ้วยเดียวก็อิ่มแล้ว แต่พอมาอยู่ในร่างกายของเหยียนอี้หลานกับรู้สึกว่า โจ๊กชามนี้ยังไม่ถึงครึ่งท้องเลย ซึ่งก็ไม่ต่างจากเฟยเฟย ที่กินไม่อิ่ม แต่ก็กินมากกว่านี้ไม่ได้ ต้องประหยัดเอาไว้
ดังนั้น เธอจึงตั้งใจจะชวนเฟยเฟย ขึ้นเขาเพื่อหาผลไม้ป่าและพืชผักป่าอื่น ๆ มาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารมื้อต่อไปด้วย
“เฟยเฟย พวกเราลองขึ้นเขา ตามที่ชาวบ้านบอกดูไหม เผื่อจะได้ผักผลไม้ป่าติดไม้ติดมือมาด้วย”
คนที่ถูกชักชวน มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะยอมพยักหน้าตอบตกลง
“ไปก็ไป ฉันจะได้หาฟืนมาเก็บเอาไว้ใช้ด้วย อวิ๋นหรงเธอรับหน้าที่เป็นแม่ครัวแล้ว ไม่ต้องไปกับพวกเราหรอก รออยู่บ้านนี้แหละ”
ปกติยุวชนจะรวมกลุ่มกันทำอาหาร หาฟืน หาบน้ำ แต่พวกของอี้หลาน แยกตัวมารวมกลุ่มกันแค่สามคน จึงต้องหาฟืน หาบน้ำใช้เอง ถึงแม้จะมีบรรดายุวชนชายมาเสนอตัวช่วยเหลือ แต่อี้หลานก็ปฏิเสธไป เพราะแค่นี้เธอก็ถูกยุวชนหญิงที่มาด้วยกันอีกสามคนพูดจาค่อนขอด ว่าหยิบจับทำอะไรไม่เป็นอยู่แล้ว
หลังจากจัดการอาหารมื้อเช้าเสร็จ อี้หลานกับเฟยเฟย ก็ไปยืมอุปกรณ์เตรียมขึ้นเขาจากติงเฉิง ที่มีบ้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านพักของยุวชนนัก ซึ่งติงเฉิงก็ไม่รังเกียจยอมให้ยืมพวกตะกร้าสาน มีดและเสียม
ยุวชนหญิงทั้งสองพากันเดินไปทางท้ายหมู่บ้าน ตามหลังชาวบ้านหลายคนที่จะพากันขึ้นเขา หาของป่าเหมือนกัน
“นั้นพากันสะพายตะกร้าจะไปไหน”
“อย่าบอกนะว่ายุวชนอย่างพวกเธอ เข้าป่าหาของป่าได้ด้วย”
คำพูดคำถามที่ต้องพบเจอตลอดสองข้างทาง แต่อี้หลานกับเฟยเฟย ทำแค่เพียงยิ้มรับ แล้วพากันเดินไปตามถนนดินแดง จนกระทั่งออกห่างจากหมู่บ้านมาไกลพอสมควร พวกเธอถึงได้มองเห็นภูเขาสูง
“เธอไหวหรือเปล่า”
เฟยเฟยหันมาเห็นใบหน้าของสหายเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันได้ปีนขึ้นเขาเลยด้วยซ้ำ จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวสิ แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
เหยียนอี้หลาน ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อ นอกจากร่างกายนี้จะหิวเก่ง ยังรู้สึกเหนื่อยง่ายมากด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าอี้หลานคนเดิม ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือทำงานหนักละมั้ง หญิงสาวจากโลกปัจจุบันคิดในใจ
“พักก่อนไหม”
“ไม่ล่ะ ไปกันต่อเถอะ”
อี้หลานกัดฟันทน เดินเข้าไปในผืนป่าบริเวณตีนเขา ปีนขึ้นไปเรื่อย ๆ สายตาก็สอดส่ายหาพืชผักป่าไปด้วย ส่วนเฟยเฟยถ้ามองเห็นท่อนฟืน ก็จะเก็บมารวบรวมเอาไว้เป็นกอง ๆ
หญิงสาวทั้งสองเดินช่วยกันหาของป่า จนพบเข้ากับเห็ดป่า จึงนั่งลงช่วยกันเก็บใส่ลงในตะกร้า จากนั้นก็เดินขึ้นเขาต่อไป จนได้มาพบกับลูกไม้ป่าจำพวก ลูกมะม่วงป่า ลูกหว้า ลูกไทร คราวนี้เฟยเฟยเป็นคนอาสาปีนขึ้นไปเก็บเอง
หลังจากได้ของป่าจนเกือบเต็มตะกร้าแล้ว อี้หลานกับเฟยเฟยก็ชวนกันกลับลงเขา โดยอี้หลานสะพายตะกร้าสานไว้เอง ส่วนเฟยเฟยก็หอบฟืนที่มัดรวมกันเป็นกอง ๆ เดินลงจากเขามา แต่ตอนขากลับนี้ จะพากันแวะไปที่ลำธารของหมู่บ้าน เผื่อดูว่าจะหาทางจับปลามาทำอาหารได้บ้างหรือเปล่า
ระหว่างที่ใกล้จะถึงลำธารนั้น ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ และเสียงเหมือนใครกำลังตีน้ำอยู่ จึงพากันออกวิ่ง เพราะเกรงว่าอาจจะมีใครบางคนตกลงไปในน้ำ
แล้วก็เป็นจริง ทันทีที่ยุวชนหญิงทั้งสอง วิ่งไปถึงลำธาร สายตาสองคู่ก็มองเห็น ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาว กำลังยืนร้องไห้อยู่ริมลำธาร ส่วนใจกลางลำธารนั้น มีร่างเล็กอีกร่างกำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ เดี๋ยวลอยเดี๋ยวจมลงไปในน้ำ
“อี้หลาน มีเด็กจมน้ำ จะทำยังไงดี” เฟยเฟยตกใจหน้าซีด เพราะว่าตัวเองนั้นว่ายน้ำไม่เป็น จึงไม่สามารถลงไปช่วยเด็กน้อยได้
อี้หลานไม่ตอบคำถามของสหาย วางมีด ปลดตะกร้าสานออกจากหลัง ก่อนจะกระโดดลงไปในลำธาร ที่กระแสน้ำวันนี้ค่อนข้างจะไหลเชี่ยว ว่ายเข้าไปหาเด็กชาย ที่กำลังตะเกียกตะกายพยายามจะเอาชีวิตรอด
ไม่นานนักเธอก็ว่ายเข้าไปอยู่ทางด้านหลังของเด็กชายได้สำเร็จ แล้วรวบตัวเอาไว้ พาว่ายจะกลับเข้าหาฝั่ง แต่ยังไม่ทันถึงฝั่ง ขาเจ้ากรรมก็ดันเกิดมาเป็นตะคริวเสียก่อน
คราวนี้กลายเป็นว่าหนึ่งหญิงสาว หนึ่งเด็กชาย กำลังจะจมน้ำตายพร้อมกัน โดยที่หญิงสาวและเด็กหญิงที่ยืนมองอยู่บนฝั่งไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้
โชคยังดี ที่จังหวะนั้น ชาวบ้านที่ลงทำงานให้คอมมูน พากันกินข้าวมื้อกลางวันกันเรียบร้อยแล้ว กำลังพากันเดินมาที่ลำธารเพื่อล้างไม้ล้างมือพอดี
“มีคนกำลังจมน้ำ” ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก รีบตะโกนบอกคนอื่น ๆ ก่อนตัวเขาจะกระโดดลงไปเป็นคนแรก
‘เหมิงชินหลง’ มองเห็นบุตรสาวยืนร้องไห้อยู่ริมตลิ่ง ก็รู้ว่าเด็กที่กำลังจะจมน้ำต้องเป็นบุตรชายฝาแฝดแน่ เลยรีบวิ่งเข้าหาลำธาร แล้วกระโจนลงไป
โดยชายหนุ่มคนแรกที่ลงไปช่วย ได้อุ้มบุตรชายของเขา กำลังว่ายกลับเข้าฝั่งแล้ว เขาจึงว่ายไปช่วยหญิงสาว ที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ ก่อนจะช้อนแขนเข้าไปใต้รักแร้ ลากตัวหญิงสาวว่ายน้ำเข้ามาขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้าน
“แคก ๆ ขอบคุณพี่ชายท่านนี้มากค่ะ”
อี้หลาน ที่ถูกช่วยขึ้นมายืนตัวสั่นงันงก กล่าวขอบคุณชายหนุ่มผู้ให้การช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเธอ เขาเอาแต่สนใจเด็กชายกับเด็กหญิง ที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ
“เสี่ยวหยวน เสี่ยวหนิง ลูกหนีอาสะใภ้เล็กมาเล่นน้ำที่ลำธารใช่ไหม ทำไมถึงไม่ฟังคำสั่งพ่อ เป็นยังไงล่ะ เกือบจมน้ำตายแล้วเห็นไหม กลับบ้านไป พวกลูกต้องถูกลงโทษ”
เด็กชายที่ปลอดภัยแล้วกับเด็กหญิง พากันยืนก้มหน้านิ่ง หยดน้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นหยดลงพื้นดิน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
“ถ้าพ่อจะทำโทษ ก็ทำโทษผมเถอะครับ เสี่ยวหนิงไม่ผิด” เด็กชายวัยหกหนาว ที่คลอดก่อนเด็กหญิงเพียงเสี้ยวนาที จึงถือว่าตัวเองเป็นพี่ชาย มีหน้าที่ต้องปกป้องน้องสาว
“พี่ชายไม่ผิด เป็นหนิงหนิงเอง ที่ชวนพี่ชายออกมาวิ่งเล่น แล้วยังเป็นคนทำให้พี่ชายตกลงไปในน้ำด้วย”
‘เหมิงหนิงเสวี่ย’ พูดความจริงออกมา ร่างเล็กยังคงสั่นสะท้านจากแรงสะอึกสะอื้น ใบหน้ายังคงอาบไปด้วยน้ำตา
“กลับบ้านค่อยว่ากัน”
เหมิงชินหลง เห็นน้ำตาของลูกน้อยทั้งสองก็เริ่มใจอ่อน หันมากล่าวขอบคุณ หลังจากทราบเรื่องแล้วว่า หญิงสาวที่เขาช่วยขึ้นมา เกือบจบชีวิตลงเพราะไปช่วยชีวิตบุตรชายของเขา
หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จ ทุกคนก็พากันแยกย้าย กลับไปทำหน้าที่ของใครของมัน ส่วนอี้หลานกับเฟยเฟย ก็พากันหอบหิ้วของป่าและท่อนฟืน กลับไปบ้านพักของเหล่ายุวชน...
