ตอนที่ 4 สามีอัปลักษณ์
อา! ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่น่าประทับใจเหลือเกิน แถมยังพ่วงสามีอัปลักษณ์ให้อีกหนึ่ง ลูกแฝดอีกสอง นางหลับตานิ่ง ความเจ็บปวดตามร่างกายถาโถมเข้ามาเป็นระลอก สงสัยคืนนี้ต้องจับไข้แน่ อีกทั้งความทรงจำของร่างเดิมก็พรั่งพรูเข้ามาไม่หยุดหย่อน
มันเกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย! เกิดใหม่ทั้งทีให้มีทั้งลูกทั้งสามีได้อย่างไร ทำไมไม่ให้เป็นไปตามขั้นตอน นางคร่ำครวญในใจ
“เข้าไปคุยกันในบ้านเถิด…” เบคบอกทุกคนเพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็กำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว
“ท่านพ่อขอรับ ข้าว่าคุยกันตรงนี้ดีกว่าขอรับ อย่างไรท่านพี่ก็บอกว่าเขาอาจจะเป็นโรคติดต่อ”
ทุกคนจึงคล้อยตามไปกับคำพูดของเบิร์ท เบคหันหน้าไปหาลูกชายคนโปรดเพื่อรอความคิดเห็นจากเขา “เช่นนั้นก็ได้ขอรับ” เขาไม่ถือสากับสายตาที่มองมาคล้ายรังเกียจ เพราะที่ค่ายทหารก็เป็นเช่นนั้น
“จะคุยเรื่องไหนก่อนดี” นายอำเภอเอ่ยถาม
“เรื่องของนางก่อนขอรับ” บาร์ตันพูดพร้อมกับจ้องหน้าคนผิดตาเขม็ง
ชอลลี่พยักหน้าให้ฮันน่าเชิงอนุญาตนางจึงเอ่ยขึ้น “ข้ากับท่านแม่จะเดินไปที่บ้านพี่สะใภ้ แต่ไม่คิดว่านางจะ…” ฮันน่าทำท่าคล้ายลำบากใจที่จะพูดคำนั้นออกมา
“จะอะไร เล่ามาให้หมด” บาร์ตันพยายามตวาดทั้งที่แทบไม่มีแรง
“นางกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับอาร์ซี นี่ถ้าข้ากับฮันน่าไม่เดินไปเจอเสียก่อนก็คง…หรือพวกเขาอาจจะทำมากกว่านั้นหลายครั้งแล้วก็ได้”
“เหลวไหล” เบคตวาดขึ้นจนภรรยากับลูกสะใภ้คนเล็กสะดุ้ง
“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหม” บาร์ตันถามภรรยาเสียงเครียด มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมอกด้านซ้ายเอาไว้ จังหวะการหายใจของเขากำลังแย่ลง
มีมี่มองหน้าแม่สามีกับน้องสะใภ้ด้วยแววตาที่คาดเดาอารมณ์ได้ยาก ทั้งสองรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อเห็นแววตาของนาง ในความทรงจำเดิมบอกนางว่าคนในครอบครัวนี้ไม่มีใครเข้าข้างนางแม้แต่สามีของตัวเอง ทั้งสองแต่งงานกันเพราะมีมี่ใช้ยาปลุกกำหนัดกับบาร์ตันซึ่งเป็นคู่หมั้นของพี่สาวเพื่อให้ได้แต่งงานกับเขา นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งครอบครัวของสามีและครอบครัวของนางเองก็ไม่มีใครไยดีกับนางเลย แม้ตอนนี้มีลูกแฝดด้วยกันแต่ก็ดูเหมือนว่าบาร์ตันจะไม่เคยคิดจะให้อภัยนางเลย
“ข้ายืนยันว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางพูดขึ้นเสียงหนักแน่น
“แล้วทำไมเจ้าถึงไปกอดกับอาร์ซีได้เล่า” ชอลลี่ถามด้วยความหงุดหงิด
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดเจ้าค่ะ ท่านแม่ก็รู้ดีนี่เจ้าคะ” เป็นคนส่งเงินให้อาร์ซีแท้ ๆ ยังกล้ามาถามนางอีก
“นางโกหก” ชอลลี่ตวาดขึ้นเสียงดังราวกับว่าโดนปรักปรำ
“เข้าใจผิดอย่างไร” บาร์ตันเอ่ยถาม
“นั่นสิ เข้าใจผิดอย่างไร” น้องสะใภ้ก็เสริม
มีมี่มองสายตาทุกคนที่จ้องนาง โดยเฉพาะสามีที่ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจหลงเหลืออยู่เลยนางก็ไม่อยากแก้ต่างให้กับตัวเองตอนนี้ พูดไปก็คงไร้ประโยชน์ “ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ ถึงข้าอธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ”
เบคก็เห็นด้วยกับลูกสะใภ้จึงรีบตัดจบเพราะเกรงว่าเรื่องจะยืดเยื้อ “เอาเถอะ ๆ ถือว่าครั้งนี้เลิกแล้วต่อกัน”
“ท่านพี่”
“พูดเรื่องของเจ้าต่อเถอะ” เบคหันไปบอกลูกชาย หน้าตาเขาไม่สู้ดีนัก
“สองเดือนที่ผ่านมาข้าป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ข้ามีอาการมึนศีรษะ ชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า ตามตัวเริ่มมีผื่นขึ้น ร้ายแรงสุดข้าไม่สามารถพยุงตัวเองเดินได้ นายจึงสั่งให้ข้าเขียนใบลาออก” แววตาเขาเจ็บปวดเมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเองกับลูก ต่อไปก็คงไม่ได้รับเงินเดือนอีกแล้ว เงินที่ได้รับก้อนสุดท้ายหลังจากลาออกเป็นเงินบำเหน็จ เพราะอายุราชการเขายังไม่ถึงยี่สิบปี
ทุกคนมีสีหน้าตกใจ
“แล้วหมอที่ค่ายทหารไม่สามารถรักษาท่านได้เลยรึ”
บาร์ตันส่ายหน้าตอบน้องชาย “ไม่ได้ พวกเขาหาว่าข้าป่วยเป็นโรคประหลาด พวกเขารักษาสุดฝีมือแล้ว” จนตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา
ทุกคนมีแววตาเคร่งเครียดโดยเฉพาะชอลลี่ หากบาร์ตันไม่ได้ทำงาน รายได้จำนวนมากที่เขาเคยส่งมาให้ นางก็จะไม่ได้รับมันอีก
“แล้วที่ค่ายทหารมีใครมีอาการเหมือนท่านหรือไม่” ในฐานะที่เคยเป็นแพทย์มาก่อนมีมี่จึงเอ่ยถามโดยไม่มีใครสงสัย จะสงสัยก็แค่นางพูดน้อยลง แต่นางอยู่ในอาการบาดเจ็บและมีความผิดติดตัว ทุกคนคงไม่ฉุกคิดว่าร่างนี้ไม่ใช่มีมี่คนเดิม
“ไม่มี” ตอบเหมือนไม่อยากตอบ เพราะเขายังโกรธภรรยาอยู่มาก
“เช่นนั้นโอกาสที่ท่านจะป่วยเป็นโรคติดต่อก็เป็นไปได้น้อย” ป่วยนานเป็นเดือนสองเดือนโดยไม่มีใครแสดงอาการ ก็มีแนวโน้มว่าเขาอาจจะไม่ได้ป่วยด้วยโรคติดต่อ
“แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้นะขอรับ บางโรคใช้เวลาฟักตัวหลายเดือน” เบิร์ทแย้งขึ้นอย่างร้อนใจ
“เอาล่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ ตอนนี้ได้เวลากินข้าวแล้ว เราเข้าไปในบ้านกันเถอะ” เดิมทีช่วงที่สามีไม่อยู่มีมี่กับลูกก็มากินข้าวที่บ้านใหญ่เป็นประจำ นางให้เหตุผลว่า สามีของนางส่งเงินมาให้แม่เลี้ยงดูแลทุกอย่างภายในบ้านใหญ่ ดังนั้นนางกับลูกทั้งสองก็มีสิทธิ์กินข้าวที่บ้านหลังนี้ และเหตุผลหลักของนางก็คือ นางเป็นคนขี้งก อีกทั้งเงินที่สามีส่งมาให้ก็มีเพียงสี่ในสิบส่วนจากเงินเดือนทั้งหมดของสามี อีกหกส่วนเขาส่งให้มารดาเลี้ยง
“ข้าไม่ยอมให้นางมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะแน่” แม่สามีมองหน้าลูกสะใภ้คนโตไม่วางตา ทำผิดมากมายถึงเพียงนี้ยังจะกล้ามากินข้าวร่วมโต๊ะอีกหรือ
“ท่านพ่อขอรับ ท่านพี่บาร์ตันก็กินข้าวร่วมกันกับพวกเราไม่ได้นะขอรับ”
“เช่นนั้นข้าไปเตรียมสำรับให้พวกเขานำอาหารไปกินที่บ้านนะเจ้าคะ” ฮันน่าเสนอ
“เจ้าคิดเห็นอย่างไร” ผู้เป็นพ่อถามลูกชาย แววตามีความห่วงใย
“ข้าจะไปกินข้าวที่บ้านของข้า”
“แล้วลูกกับภรรยาของท่าน…”
“ข้าจะไปกินข้าวกับสามี” มีมี่ตอบน้องชายสามี
“ข้าสองคนก็จะไปกินข้าวกับท่านพ่อท่านแม่” ลูกทั้งสองมีความเห็นตรงกัน พวกเขาไม่มีทางกินข้าวแยกจากพ่อแม่เป็นอันขาด