บทย่อ
มีมี่ได้ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในร่างที่มีชื่อเดียวกันกับนาง ผู้หญิงคนนั้นมีสามีอัปลักษณ์และลูกแฝดอีกสองคน นางจะทำอย่างไรในเมื่อคนรอบข้างไม่มีใครรักนางเลยแม้แต่สามีของนางที่ป่วยหนักจนเดินไม่ได้
ตอนที่ 1 เร่ร่อนไปต่างโลก
สายลมในช่วงเย็นพัดเอื่อย ๆ สองดวงวิญญาณผีสาวกำลังนั่งคุยกันอยู่บนเนินเขาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตาทอดมองเนินเขาน้อยใหญ่สลับกัน ผู้คนกำลังไล่ต้อนสัตว์เลี้ยงจำพวก ม้า แกะ แพะ และวัว เข้าไปในคอก มีมี่วิญญาณผีสาวจากเมืองไทยเพิ่งรู้ว่าที่นี่คือเมืองลาซาน ซึ่งมันไม่ได้อยู่บนดาวโลกที่นางเคยอยู่ นางก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเร่ร่อนรอนแรมมาไกลจนออกนอกโลกมาได้อย่างไร ยังดีที่นางมาเจอเพื่อนร่วมชะตากรรม ช่วยพานางเที่ยวชมเมืองลาซานแห่งนี้อยู่เกือบหนึ่งเดือน ทำให้มีมี่เข้าใจถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่และภาษาของที่นี่เป็นอย่างดี
“ขอบใจเจ้ามากนะเฟรยาที่อยู่เป็นเพื่อนข้า” มีมี่กล่าว เพราะตั้งแต่นางตาย นางก็ยังไม่เคยมีผีที่เป็นเพื่อนสนิทสักตน ส่วนมากทักทายกันพอผ่าน ๆ แล้วก็ต่างคนต่างไป อาจจะเป็นเพราะชีวิตตอนเป็นคนมีมี่ชอบอยู่คนเดียว ได้ทุนเรียนต่อด้านแพทย์แผนจีน จบแล้วก็ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐ และก็ตายคนเดียวในวัยเพียงสี่สิบห้าปี มีมี่จึงกลายเป็นคนไม่ค่อยไว้ใจใครและอยู่เป็นโสดจนลมหายใจสุดท้าย แม้แต่ตอนตายกลายเป็นวิญญาณก็ยังไม่เปิดรับใครเป็นเพื่อนง่าย ๆ
“ไม่เป็นไรข้ายินดี เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้าเช่นกัน” ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอเหมือนเช่นทุกวันอีกหลายสิบประโยค พลันเกิดแสงสีเงินวาบผ่าน และมีร่างหนึ่งปรากฏกายตรงหน้า ชายตรงหน้าสวมชุดสีขาวทั้งตัว รอบตัวมีแสงทอประกายระยิบระยับ
วิญญาณสองดวงเบิกตากว้างด้วยความดีใจเมื่อประจักษ์ได้ว่าร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือผู้ใดแล้วอุทานขึ้นพร้อมกัน “ท่านเทวดา!”
“ข้าเอง”
“ท่านมารับดวงวิญญาณพวกเราไปจุติแล้วหรือเจ้าคะ” มีมี่ถามอย่างกระตือรือร้น อย่างไรการไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังดีกว่าเที่ยวเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเช่นนี้
“ช้าก่อนแม่นาง” เทวดาผ่อนลมหายใจแล้วกล่าวออกไป “ไม่ใช่พวกเราแต่ข้ามารับวิญญาณของเฟรยาเพียงดวงเดียวเท่านั้น” เฟรยามองท่านเทวดาด้วยแววตาเปล่งประกาย ใบหน้าของวิญญาณอีกดวงหนึ่งจึงสลดลง
“แล้วข้าล่ะ” ประกายตาที่มีความหวังเมื่อครู่กลับหรี่ลง
“เจ้าจะได้เกิดใหม่เช่นกัน แต่เป็นการเกิดใหม่ที่แตกต่างออกไป”
มีมี่มีสีหน้าเป็นกังวลกับคำบอกกล่าวของเทวา “ท่านหมายความว่าอย่างไร คนเราไม่ได้เกิดเหมือนกันหรือเจ้าคะ”
“ถึงเวลานั้นเจ้าก็รู้เอง” เทวาดาหันไปมองเฟรยาแล้วกล่าว “เราไปกันเถิด”
เฟรยาจึงหันมาลาเพื่อนด้วยท่าทีเห็นใจ “ข้าไปก่อนนะ”
มีมี่พยักหน้าด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ เกิดมาอยู่คนเดียวตั้งแต่อายุสิบห้า พอตายก็ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีกเช่นเคย
สิ้นคำลาทั้งเฟรยาและเทวดาก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
มีมี่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเดินทอดน่องไปตามทุ่งหญ้าบนเนินเขา แม้เมืองลาซานจะเป็นเมืองที่สวยงาม บ้านผู้คนตั้งอยู่บนเนินเขาที่ไม่ค่อยใกล้ชิดกันมากนัก มีเทือกเขาสูงสลับแซมด้วยดงดอกไม้ป่า และทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ และยังมีภูเขาใหญ่น้อยสลับกับป่าไม้ที่แทรกตัวอยู่ตามเนินเขา มองไปบนเทือกเขาสูงมีสีขาวโพลนของน้ำแข็ง อีกทั้งยังมีแม่น้ำลำธารไหลผ่านหลายสาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่ได้ทำให้จิตใจนางเบิกบานได้เลย เมื่อนางได้ออกเดินทางเพียงลำพัง
เขตชายแดนทางเหนือของเมืองลาซาน
ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามารายงานเจ้านายที่นอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนเตียงนอน “เรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้วขอรับผู้พัน พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า ถึงเมืองลาซานก็น่าจะเย็นขอรับ”
“อืม” ผู้พันบาร์ตันรับคำอย่างอ่อนล้า ไม่คาดคิดว่าชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ของตัวเองจะต้องมีจุดจบเช่นนี้ เขาเข้ารับราชการตั้งแต่อายุย่างสิบหก ตอนนี้ก็สามสิบปีเต็ม คิดว่าหน้าที่การงานจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนทุ่มเทให้กับงานอย่างหนักมาตลอด แต่เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาเขาก็เริ่มล้มป่วย และอาการเริ่มหนักมากขึ้น แม้แต่หมอทหารก็ไม่สามารถวินิจฉัยโรคของเขาได้ ตอนนี้ตามตัวเขามีผื่นขึ้นเต็ม เดินเหินเองไม่ได้เพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะและมึนงง ปวดตามข้อมือข้อเท้า นายใหญ่มีคำสั่งให้เขาเขียนใบลาออกเพราะเขากลายเป็นบุคคลทุพพลภาพโดยไม่ได้เตรียมใจมาก่อน เขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ อย่าว่าแต่นำกำลังทหารออกไปรบ ลำพังก้าวขาเดินเองก็ยังทำไม่ได้
ผ่านไปหลายนาทีบาร์ตันจึงถามขึ้นอีก “ที่บ้านของข้ามีใครรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ยังขอรับ” ธีโอลูกน้องคนสนิทกล่าว
บาร์ตันไม่ได้กล่าวคำใดอีก เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบ แม้กระทั่งลูกกับภรรยาที่เจอหน้ากันเพียงสองปีต่อครั้งเขาก็ไม่ได้ส่งจดหมายไปบอก เขาปิดตาลงอย่างช้า ๆ อีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ในใจระลึกถึงความตายในวัยเพียงสามสิบปี
ธีโอมองเจ้านายด้วยสายตาที่ยากจะอ่าน หลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามา คิดอยากจะเอ่ยอีกคำสองคำแต่ก็เก็บปากเงียบเสีย เขาเดินไปเก็บข้าวของให้เจ้านายเพื่อเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้ ในค่ายทหารไม่มีใครกล้าเข้ามาในเขตที่พักส่วนตัวของผู้พันบาร์ตันยกเว้นธีโอ และออสตินเพื่อนสนิทของเขา แม้แต่นายทหารใหญ่ที่มาเยี่ยม พวกเขามาแค่ถามไถ่อาการของบาร์ตันกับลูกน้องของเขาแล้วก็กลับไป เพราะทุกคนคิดว่าเขาป่วยเป็นโรคประหลาด และเกรงว่าเขาจะนำโรคระบาดมาสู่ค่ายทหาร มีเพียงธีโอคนเดียวที่มั่นใจว่าเจ้านายไม่ได้ป่วยจากการติดโรค
