ตอนที่ 8 รับจ้างเกี่ยวข้าว
“กินข้าวไม่ค่อยได้เลยครับ”
เฟื่องเอ่ยออกอย่างทอดถอนใจ “คนเรากินข้าวไม่ได้ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น” แต่รู้เหตุผลที่อัจฉราไม่ไปหาหมอแล้วจึงเก็บคำพูดที่กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายเอาไว้
ชาญชัยยิ้มเจื่อนพูด ‘ครับ’ คำเดียวแล้วขอตัวไปทำงานอย่างอื่นต่อ
กินอาหารเช้าเสร็จเตรียมห่อข้าวใส่กระเป๋าย่าม จากนั้นพาลูกชายทั้งสองไปซื้อหมวกปีกสานที่ร้านค้าในหมู่บ้าน แล้วค่อยเดินไปขึ้นรถเกษตรที่บ้านของจินดาซึ่งเป็นเจ้าของนาที่เขากับลูกจะไปเกี่ยวข้าววันนี้
เมื่อทุกคนมาครบแล้วคนงานจึงพากันปีนขึ้นรถอีแต๋น ชาญชัยอุ้มลูกทั้งสองขึ้นรถแล้วทั้งสามก็ไปยืนอยู่แถวหน้าด้วยกัน โดยคนตัวใหญ่ยืนอยู่ด้านหลังของเด็ก ๆ วันนี้คนงานมีประมาณสิบกว่าคน บางคนก็พาลูกไปด้วยเหมือนกับเขา
และวันนี้เขายังได้เจอกับครอบครัวของมิ่งพรด้วยซึ่งก็คืออาผู้หญิงของเขา คนนี้แหละคือคนที่อยากได้ค่าสินสอดของเขาจนตัวสั่น แถมยังคิดกำจัดเขาให้พ้นบ้านหลังนั้น และเธอก็ทำสำเร็จและคงสบายใจไม่น้อยเมื่อไม่มีเขาอยู่ด้วย พวกเขามากันสี่คน มีมิ่งพร สามี ลูกชาย และลูกสะใภ้ของเธอ
ทั้งสี่คนเหลือบมองเขากับลูกด้วยสายตาเหยียดหยามแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา ชาญชัยก็ไม่สนใจใครเช่นเดียวกัน เพราะการแต่งงานในวันนั้นถือเป็นการตัดญาติกับพวกเขาไปแล้ว
มาถึงนาทุกคนเก็บข้าวของแล้วก็เริ่มทำงานทันที มีผู้ชายบางคนที่พันยาเส้นขึ้นสูบก่อนแล้วค่อยเดินไปเกี่ยวข้าว แปลงนาของจินดาแต่ละแปลงค่อนข้างใหญ่ คนสิบกว่าคนจึงเกี่ยวข้าวแปลงเดียวกันได้ แต่นาของจินดาเป็นนาลุ่ม ข้าวงามจึงทำให้บางจุดมีข้าวล้มปะปนกันไป จะทำให้เกี่ยวได้ช้ากว่าเมื่อวาน
ชาญชัยพาลูกชายทั้งสองลงไปเกี่ยวข้าวร่วมกับคนอื่น ๆ การเกี่ยวข้าวรับจ้างที่นี่เขาจ้างกันมัดละหนึ่งบาท ผู้ใหญ่ใส่ห้ากำส่วนเด็กใส่แปดกำ
ร่างสูงใหญ่ยืนมองลูกชายเกี่ยวข้าวอยู่สักพัก มั่นใจว่าลูกทำได้จึงลงมือเกี่ยวข้าวบ้าง สายตายังคอยชำเลืองมองลูก ๆ อยู่เป็นระยะ หากลูกวางกำข้าวไม่เสมอกัน หรือแม้แต่เกี่ยวข้าวยาวไปหรือสั้นไปเขาก็จะคอยเตือนลูกเสมอ เพราะข้าวสูงท่วมหัวลูกชายพวกเขาจึงเกี่ยวข้าวค่อนข้างลำบาก กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ละความพยายาม แม้มือน้อย ๆ จะรวบข้าวได้เพียงครั้งละสองต้นเท่านั้น
ชาญชัยมองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจเป็นครั้งแรก แม้เด็กสองคนนี้จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเขาก็ตาม แต่พวกเขาช่างมีความอดทนเหลือเกิน
เวลาผ่านไปราวสามสิบนาที มิ่งพรกับลูกชายที่เดินกลับจากไปดื่มน้ำ จึงเดินเข้ามาหาเขากับลูก พร้อมกับพูดจาถากถาง “ถึงกับพาลูกมารับจ้างเกี่ยวข้าวเลยเหรอ ไม่สงสารเด็กมันรึไง” มิ่งพรเป็นคนพูดขึ้นก่อน
ลูกชายจึงเอ่ยตาม “ก็คนมันต้องใช้เงินน่ะแม่”
มิ่งพรเค้นเสียงหึออกมาเบะปากพูดต่อว่า “อย่างว่าละนะ ต้องทำงานรับจ้างคนเดียว เงินจะพอใช้ได้ยังไง”
ชาญชัยยังคงนิ่งเฉยเหมือนกับเจ้าของร่างคนเก่า แต่แสนดีทนไม่ไหวจึงพูดออกไป “ผมกับน้องขอร้องมาด้วยเองครับ อาชาญไม่ได้บังคับพวกเรา”
“โอ้ตายแล้ว ตัวแค่นี้รู้จักปกป้องพ่อเลี้ยงซะแล้ว” มิ่งพรว่า
“ก็ดีแล้วนะครับแม่ พวกเขาช่วยกันทำมาหากิน จะได้ไม่ต้องมาขอส่วนบุญจากพวกเรายังไงละครับ” ทินกรเป็นน้องของชาญชัยหนึ่งปี แต่เขาไม่เคยให้ความเคารพลูกชายลุงคนนี้เลยสักครั้ง แต่เจ้าของร่างเดิมคงชินชาแล้ว
แสนดีกับสายน้ำเม้มปากแน่นเพราะความโกรธ แอบเหล่ตามองพ่อเลี้ยงแต่เขาก็ยังคงเกี่ยวข้าวไม่หยุดมือ ทำราวกับไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดดูแคลนเหล่านั้น ทั้งสองจึงทำได้แค่เก็บคำพูดแล้วเกี่ยวข้าวตามพ่อเลี้ยงไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อไม่มีการตอบโต้จากชาญชัยสองแม่ลูกจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย คุยกับเขาเหมือนคุยกับตอไม้ ทินกรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนแม่ “เราไปเกี่ยวข้าวกันเถอะแม่ แม่ก็รู้ว่ายืนคุยกับควาย ควายมันจะพูดได้ยังไง”
“นั่นสิ แม่ก็ลืมตัวคุยด้วยตั้งหลายคำ” พูดจบสองแม่ลูกก็เดินตามกันไปตรงหน้างานของตน ซึ่งสามีกับลูกสะใภ้เกี่ยวไปได้ไกลมากแล้ว
สายน้ำทนฟังไม่ได้ตะโกนตามหลังไปว่า “อาชาญไม่ได้เป็นควาย” หันหน้ากลับมาทำแก้มป่องพองลมมองคนตัวใหญ่ ถามออกด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ทำไมอาไม่ด่าพวกเขาครับ” ถึงเขาจะเป็นเด็กแต่เขาก็ฟังออกว่าสองแม่ลูกนั้นกำลังด่าพ่อเลี้ยงของเขาว่าเป็นควาย
คนอื่นที่เกี่ยวข้าวอยู่ตรงนั้นทำได้เพียงยืนมองครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าอย่างระอา เพราะตั้งแต่พ่อกับแม่ของชาญชัยจากไปเขาก็ถูกคนในครอบครัวข่มเหงเช่นนี้ ถึงแม้มีใครกล้าสอดปากเข้าไปยุ่งด้วย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของครอบครัวนี้ได้ เพราะจะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตั้งแต่ปู่กับย่า ที่ปล่อยให้ชาญชัยโดนรังแกมาตลอด ดีไม่ดีปู่กับย่านั่นละที่เป็นคนเริ่ม
ชาญชัยเดินไปวางข้าวกำสุดท้ายของมัดนั้น ใช้เท้าเหยียบตอซังข้าวลงให้ตนเองและลูกเพื่อวางข้าวมัดต่อไป เอ่ยขึ้นเสียงเรียบเรื่อยว่า “ถ้าเราไปโต้ตอบเขา เขาก็จะอยู่นานกว่านี้ ทำให้เราเสียเวลาทำงานเปล่า ๆ”
“แต่เราไม่ใช่ควายนี่ครับ อาไม่โกรธที่เขาด่าเหรอ”
คนตัวใหญ่วางมือบนศีรษะเล็ก กรอบหน้าเริ่มมีเหงื่อไคลไหลอาบ แก้มสองข้างขึ้นเป็นสีแดงเพราะต้องลมหนาว อีกทั้งอุณหภูมิในร่างกายคงเริ่มสูงขึ้นแล้ว พูดกับลูกเลี้ยงอย่างใจเย็นว่า “เรารู้ว่าเราเป็นอะไรก็พอ คนบางคนเถียงไปแล้วไร้ประโยชน์ก็ไม่ต้องเถียง เขาจะมองเราเป็นอะไรก็ปล่อยเขาไป เราห้ามปากกับความคิดเขาไม่ได้ อีกอย่างถ้าเรามัวแต่ยืนทะเลาะกับพวกเขา วันนี้ก็จะทำให้อาเสียเงินไปหลายบาทเลยทีเดียว สายน้ำว่าจริงไหม”
“ทำไมอาต้องเสียเงินด้วยครับ” สายน้ำยังไม่กระจ่างกับคำพูดของพ่อเลี้ยง
เขากลับไปเกี่ยวข้าวต่อพร้อมกับอธิบาย “ก็เพราะอาเกี่ยวข้าวสองนาทีก็ได้เงินหนึ่งบาทแล้ว ถ้าอาเถียงกับพวกเขาสิบนาทีก็เท่ากับอาเสียเงินไปห้าบาทเลยทีเดียว สายน้ำเข้าใจหรือยัง”
สายน้ำพยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจแล้วครับ”
ตลอดเวลาที่พ่อเลี้ยงคุยกันกับน้องชาย แสนดีก็ยืนฟังอย่างเงียบ ๆ และเข้าใจทุกอย่างที่พ่อเลี้ยงสอน ในใจเกิดความศรัทธาในตัวพ่อเลี้ยงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
