ตอนที่ 5 ฉันยังรอพี่อยู่นะ
กินข้าวเสร็จก็เกือบบ่ายโมงแล้ว ทุกคนอยากให้งานเสร็จเร็วจึงรีบลงไปทำงานทันที เพราะยิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จเร็วก็ยิ่งได้กลับบ้านเร็ว อีกทั้งพวกผู้ชายก็จะได้ไปเชือดหมูด้วย
มนธิราเดินเข้ามาเกี่ยวข้าวข้าง ๆ ชาญชัยแบบเนียน ๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เมื่อเช้าฉันขอโทษที่ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่”
ชาญชัยเกี่ยวข้าวไปด้วยฟังไปด้วยอย่างเงียบ ๆ อุตส่าห์เดินหนีแล้วยังจะตามมาอีก ที่จริงเมื่อเธอรู้ว่าอดีตคนรักแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ไม่สมควรมาคุยด้วยแล้วนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม
เห็นเขาเงียบไปมนธิราจึงกล่าวต่อ “ถ้าพี่ลำบากใจที่จะคุยกับฉัน ฉันขอพูดความในใจกับพี่ไม่กี่คำแล้วฉันก็จะไป” เขาก็ยังเงียบอีก “ฉันยังรอพี่อยู่นะ เมื่อไรที่พี่เอื้องไม่อยู่แล้ว เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมนะ ฉันจะรอแต่งงานกับพี่คนเดียว”
ชาญชัยขยับปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่มนธิราก็ไม่อยู่รอฟังแล้ว เขาส่ายหน้าเล็กน้อย นี่หล่อนยังหวังที่จะแต่งงานกับเขาอีกหรือ มิหนำซ้ำยังแอบแช่งภรรยาของเขาอีก
ความจริงวันนี้ชาญชัยได้ยินคนอื่นนินทาเขาเรื่องที่แต่งงานกับอัจฉราอยู่เหมือนกัน บ้างก็ว่าเขาเห็นแก่เงินสามหมื่นที่เป็นค่าสินสอด บ้างก็ว่าเขาเห็นแก่ที่ดินสองไร่ที่เขาจะได้รับเมื่อทำตามสัญญาที่เขาและเธอตกลงกันไว้ เพราะคนที่นี่เห็นที่ดินเป็นเรื่องสำคัญ มีที่ดินเหมือนมีทองอยู่ในมือ เพราะคนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ล้วนต้องรับจ้างหากินไปวัน ๆ แม้จะอยู่ใกล้เขตตัวอำเภอก็ตาม
คนงานยี่สิบหกคนรวมถึงเจ้าของนาด้วยเกี่ยวข้าวทั้งหมดสิบสองไร่ เวลาเกือบบ่ายสามโมงก็เกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเพราะข้าวไม่ล้มจึงเกี่ยวเสร็จเร็ว ชายฉกรรจ์ประมาณสี่ห้าคนแยกตัวออกไปเชือดหมูตั้งแต่บ่ายสองแล้ว
เกี่ยวข้าวเสร็จชาญชัยไม่ได้กลับบ้านพร้อมกับคนอื่น ๆ เขาบอกทุกคนว่าอยากไปดูข้าวที่นาของภรรยาเสียหน่อย เพิ่มจึงบอกว่าจะเอาเนื้อหมูไปไว้ที่บ้านให้ เขาพยักหน้ารับ พอทุกคนกลับไปแล้วเขาจึงหยิบเคียวออกมาแล้วใช้ปลายแหลมงองุ้มของมันครูดกับพื้นดินที่อยู่ข้างคันนาเพื่อหาหอยขมและหอยโข่ง เพราะตอนเกี่ยวข้าวเขาสังเกตเห็นว่ามีหอยที่จำศีลอยู่ข้างคันนาเป็นจำนวนมาก ตัวเขาเองชอบหอยจำศีลมากกว่าหอยที่อยู่ในน้ำ เพราะหอยจำศีลจะตัวอ้วนกว่าและเนื้อหอยก็ไม่เหนียวเท่าหอยที่อยู่ในน้ำ อีกทั้งยังเก็บไว้ได้นานกว่า
ชาญชัยขุดหอยได้เกือบครึ่งกระเป๋าย่าม จากนั้นจึงเดินไปดูนาของภรรยาที่อยู่ติดกับนาของเพิ่มตามที่ได้บอกทุกคนไว้ นาแห่งนี้มีพื้นที่อยู่ประมาณห้าไร่ซึ่งเป็นสมบัติของยายของอัจฉรา ยายของเธอมีลูกสาวเพียงคนเดียว พ่อกับแม่ของอัจฉราเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก อัจฉราจึงอยู่กับยายสองคนเรื่อยมา
แต่ไหนแต่ไรพื้นที่แห่งนี้ก็ให้คนรู้จักทำนาแล้วแบ่งผลผลิตกันคนละครึ่ง เพราะยายไม่มีเงินทุนและแรงที่จะทำนาเอง กระทั่งอัจฉราอายุได้สิบหกปียายก็ให้หลานออกเรือนเพื่อจะได้มีคนมาดูแล แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ยายคิดไว้เพราะเมื่ออัจฉราแต่งงานแล้วก็ยังต้องให้คนอื่นทำนาเหมือนเดิม เพราะหลานเขยบอกว่า ‘เขาทำนากับภรรยาสองคนไม่ไหวหรอก ให้คนอื่นทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ถ้าไม่พอกินก็ให้ซื้อข้าวสารเพิ่มเอา จะไปทำให้เหนื่อยทำไม’ เธอจึงให้คนอื่นทำมาตลอด เดิมทีดินห้าไร่นี้ได้ข้าวเปลือกไม่เกินปีละห้าสิบกระสอบ แบ่งกันก็ได้คนละยี่สิบห้ากระสอบเป็นอย่างมาก ทุกปีกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวอีกครั้งอัจฉราก็ต้องซื้อข้าวสารเพิ่มตลอด
และพื้นที่ห้าไร่แปลงนี้ก็คือพื้นที่ในสัญญาที่ชาวบ้านพูดถึง
ชาญชัยเดินกลับบ้านหลังจากดูนาของภรรยาเสร็จด้วยความคิดที่หลากหลาย เขาจะหาเงินจากที่ไหนพาภรรยาไปหาหมอ หรือว่าจะนำที่ดินแปลงนี้ไปจำนองกับธนาคารดี แต่เธอจะยอมง่าย ๆ หรือ
คนตัวโตพลางเดินพลางคิดไปด้วยตลอดทาง กลับมาถึงบ้านเพิ่มก็เอาเนื้อหมูมาให้แล้ว เขารีบสาวเท้าตรงเข้าไปในห้องครัวเมื่อได้ยินเสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะถี่รัว
อัจฉรากำลังนั่งสับหมูอยู่บนพื้นห้องครัว โดยมีลูกทั้งสามนั่งล้อมวงมองดูอยู่ข้าง ๆ เขารีบเอ่ยขึ้นทันที “ไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวพี่ทำต่อเอง” ชาญชัยวางกระเป๋าย่ามไว้บนแคร่ มองภรรยาที่หายใจเหนื่อยหอบด้วยความสงสาร
อัจฉราหยุดมือเอ่ยกับสามีว่า “ฉันยังพอทำไหว” ก่อนหน้านี้ ทุกวันตอนเย็นอัจฉรากับลูกจะต้องเป็นคนทำอาหารไว้รอเขาที่ไปรับจ้างข้างนอก และเขาก็ไม่เคยว่าอะไรเมื่อเห็นเธอกับลูกช่วยกันทำงานบ้าน แต่วันนี้เขากลับบอกไม่ให้เธอทำ
“ถ้าอยากช่วยก็เอาหอยใส่กระด้งให้พี่ดีกว่า เลือกตัวที่เป็นแผลออกให้พี่ด้วย” หอยบางตัวโดนปลายเคียวเกี่ยวและทิ่มแทงจึงทำให้เกิดแผล เช่นนั้นถ้าเก็บรวมกันไว้จะทำให้เน่าเสียพลอยทำให้หอยตัวอื่นมีกลิ่นเหม็นไปด้วย
“ก็ได้” อัจฉรารับคำอย่างว่าง่าย วางมีดในมือลงบนเขียงแล้วขยับกายออกจากตรงนั้น
