บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 การคำนวณ

“ตาของเจ้าไม่ได้ดีขนาดนั้น” เจี่ยนหรงเถียงทันที

“ข้าเห็นจริงๆ”

“เจ้ายืนมองในมุมร้อยเก้าสิบองศา ไม่มีทางมองออกว่าเส้นวงนี้ไม่กลม”

“ห๋า..เจ้าพูดหมายถึงสิ่งใด” เขาขมวดคิ้วกับวิธีที่นางพูด

“พิสูจน์สิว่าไม่กลมยังไง” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น มองสามีด้วยสายตาดูแคลน

“ไม่ค่อยกลม เพราะยามที่เจ้าลากไม้ไปรอบๆ เส้นเชือกจะพันรอบไม้ที่ปักอยู่ตรงกลางเล็กน้อย เมื่อลากเชือกหมุนเรื่อยๆ เส้นวงจะยิ่งเล็กลง” เขาหงุดหงิด แต่ก็รู้สึกว่าไม่อาจยอมแพ้หญิงบ้าผู้หนึ่งได้

“..นั่น สมเหตุสมผล..มันไม่กลม แต่มันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีผลกับการก่อเตาเผาอย่างหยาบ แต่..เจ้าคำนวณได้ถูกต้อง เก่งมากเลย” เจี่ยนหรงมองสามีด้วยความชื่นชม มีรอยยิ้มเล็กผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของนาง เป็นรอยยิ้มที่จริงใจ

“...” เดิมทีเอ้อร์กัวเพียงอยากเถียงและไม่คิดว่านางจะเข้าใจ แต่นางกลับเข้าใจสิ่งที่เขาพูดและชื่นชมเขา คิ้วที่ขมวดของชายหนุ่มขมวดแน่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพราะหงุดหงิด แต่เป็นเพราะเขาแน่ใจว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นหญิงบ้า

สิ่งที่เขาอธิบาย อาจารย์ซางปิงบอกว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์ชั้นสูงลิ่วอี้[1] ซึ่งเรียกว่า ซู่ เป็นศิลปะการคิดคำนวณ มีเพียงเหล่าบัณฑิตเท่านั้นที่ได้ร่ำเรียน บัณฑิตบางคนก็ยังไม่อาจแตกฉาน แล้วสตรีสติเฟื่องผู้หนึ่งจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร

ใบหน้ายิ้มแย้มของเจี่ยนหรงค่อยๆ กลับมาเคร่งขรึม คล้ายนางเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ทำบางสิ่งผิดปกติไป นางรีบกลบเกลื่อนด้วยการตั้งหน้าตั้งตาทำงาน

“เจ้ามองอะไร จะไปทำอะไรก็ทำ” นางบ่นระหว่างที่เริ่มขีดเส้นอีกเส้นหนึ่ง เล็กลงไปด้านในวงกลมเส้นเดิม

เอ้อร์กัวไม่ใช่บุรุษที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่สตรีที่อยู่ตรงหน้าเป็นภรรยาของเขาไม่ใช่หรือ เขาพยายามอยากจะถามหลายครั้ง แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถาม

เขาเพียงหันหลังและเดินไปล้างตัวในแม่น้ำ ดินโคลนค่อยถูกชะล้างออกไปจากขาของชายหนุ่ม ระหว่างที่เอ้อร์กัวคิดทบทวนถึงความเป็นมาของภรรยาตัวเล็ก

เขาย้อนคิดกลับไปเมื่อปีก่อน กองทัพของเมืองหลวงชนะสงครามเพิ่งเดินทางกลับจากชายแดนผ่านหมู่บ้านทุ่งแดงพอดี เสียงกลองและแตรศึกดังก้องทั่วทั้งหุบเขา

ไม่นานหลังจากนั้น สองตายายกัวเหอก็ได้พบร่างของเด็กสาวในสภาพสะบักสะบอม เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดและบาดแผลสาหัส สองตายายช่วยพานางกลับไปรักษา ร่างที่ใกล้สิ้นใจถูกฟื้นชีวิตกลับมาได้ด้วยความทุ่มเทและทรัพย์สินจำนวนไม่น้อย

กว่าเด็กสาวจะฟื้นตัวก็ผ่านไปสี่เดือนเต็ม เอ้อร์กัวจำได้ว่านางเอ่ยชื่อของตนเองในวันหนึ่งว่า ลิลี่ เจี่ยนหรง ชื่อนี้แปลกประหลาด ทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูดของนางก็ดูผิดแผกออกไป เกินกว่าจะเป็นคนในแถบนี้

แรกเริ่ม ผู้คนในหมู่บ้านพากันสงสัยว่าเจี่ยนหรงอาจเป็นเชลยศึกที่หลบหนีมาจากกองทัพ เพราะนางดูไม่เหมือนชาวบ้านปกติ หลายคนแสดงความหวาดระแวง กลัวว่านางจะนำภัยมาให้หมู่บ้าน แต่สองตายายกลับประกาศอย่างหนักแน่นว่านางเป็นบุตรีของพวกเขา และรับนางเป็นบุตรบุญธรรม

บางทีอาจเป็นเพราะยายเฒ่าเหอเคยสูญเสียลูกสาวให้กับโจรป่าไปเมื่อหลายปีก่อน นางจึงทำใจปล่อยให้เด็กสาวผู้นี้จากไปไม่ได้ แต่ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มสังเกตว่าเจี่ยนหรงมักทำตัวแปลกๆ และไม่สามารถสื่อสารได้เหมือนคนทั่วไป

หลายคนเริ่มซุบซิบนินทาว่านางอาจไม่สมประกอบ แม้จะถูกมองว่าเป็นหญิงบ้า แต่สองตายายกัวเหอก็ไม่เคยทอดทิ้งเจี่ยนหรง กลับกัน พวกเขายิ่งทำงานหนักขึ้นเพื่อเลี้ยงดูนาง มีข่าวว่าทั้งสองมักพบหินมีค่าขณะออกไปหาของป่าที่ป่าดำ และนำสิ่งของมาขายในหมู่บ้านจนมีเงินทองใช้จ่าย

พวกเขาบอกกับชาวบ้านในหมู่บ้านว่านี่คือผลของวาสนาที่ได้ช่วยชีวิตเจี่ยนหรงไว้ นางเป็นเหมือนเทพธิดานำโชคของพวกเขา อย่างไรก็ตาม วาสนานั้นเหมือนจะมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเดือนก่อน

ไฟไหม้เผาทำลายบ้านของสองตายายจนทั้งคู่เสียชีวิต เจี่ยนหรงใช้เงินทั้งหมดจัดงานศพให้อย่างดี จนไม่เหลืออะไรไว้สำหรับตนเอง แต่นางไม่ยอมพูดว่าเหตุใดจึงเกิดไฟไหม้

หลังจากนั้น นางก็ดูเหมือนจะหายตัวไปจากสายตาของชาวบ้าน แต่ก็มีหลายคนบอกว่าเจี่ยนหรงยังคงนอนหลับในซากเรือนที่ถูกเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่เอ้อร์กัวเองก็เคยเห็นนางใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆ เรือนที่ถูกไฟไหม้ไปกว่าครึ่งของตายายกัวเหอ

เอ้อร์กัวมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ได้ เจี่ยนหรงกำลังพยายามเช็ดคราบดินบนแก้มของตัวเองด้วยหลังมือ แต่แทนที่จะทำให้สะอาดกลับยิ่งทำให้คราบเลอะเปรอะเปื้อนกว่าเดิม ใบหน้าที่เปื้อนคราบดินผสานกับรอยยิ้มพอใจของนางช่างดูขัดแย้งจนเขาอดถอนหายใจไม่ได้

“ตกลงนางเป็นหญิงสติไม่ดีจริงๆ หรือเป็นสตรีที่ฉลาดเกินกว่าข้าจะเข้าใจ” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเห็นไป

เจี่ยนหรงมีความสามารถในการคำนวณพื้นที่อย่างแม่นยำ สตรีในหมู่บ้านทุ่งแดงแทบทั้งหมดล้วนทำงานหนักในไร่หรืออยู่ในเรือน ไม่มีใครที่เขาเคยพบมีความสามารถเช่นนี้ แม้แต่เหมยฮวา หญิงสาวที่เขาคิดว่าเฉลียวฉลาดที่สุดในหมู่บ้านก็ยังไม่สามารถคำนวณได้

ระหว่างที่เอ้อร์กัวจมอยู่ในความคิด แสงอาทิตย์ก็เริ่มทอประกายแรงขึ้นจนความร้อนแผ่กระจาย เขาหลุดจากภวังค์และมองไปยังเรือนของเขา ฟืนที่กองอยู่เริ่มร่อยหรอจนเขาอดกังวลไม่ได้

เขาเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้าอย่างง่ายๆ สำหรับภรรยา โจ๊กธัญพืชที่มีเพียงถั่วบางชนิดถูกต้มในหม้อใบเก่า แม้จะไม่ใช่อาหารอย่างดีอะไร แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็พอจะทำให้เรือนอันเรียบง่ายนี้รู้สึกอบอุ่นขึ้น

“ข้าต้มโจ๊กให้เจ้าแล้ว อย่าลืมกินด้วย ข้าคงต้องออกไปยืมขวานของอาจารย์แล้วขึ้นเขาไปตัดฟืนมาเพิ่ม” เอ้อร์กัวออกไปสั่งเสียภรรยาหลังบ้าน เพราะเขากลัวว่านางจะไม่ยอมกินอาหารหากเขาไม่อยู่ด้วย ดังเช่นวันที่ผ่านๆ มา

“ตัดฟืนหรือ..” เจี่ยนหรงเงยหน้าขึ้นมามอง

“ใช่..วันหลังข้าค่อยไปจับไก่ป่ามาต้มให้เจ้ากิน” เขาพูดด้วยความรู้สึกผิด แม้ภรรยาเขาจะแปลกประหลาด แต่เขาก็อยากให้นางได้กินดีอยู่ดีบ้าง จะปล่อยให้อดอยากไม่ได้ เขาคิดว่าเป็นหน้าที่ที่เขาจำต้องทำเพื่อภรรยา

“ไก่หรือ..ให้ข้าหรือ” เจี่ยนหรงขมวดคิ้วแน่น

“ไม่ให้เจ้าแล้วจะให้ผู้ใด..”

“ไม่ต้องหรอก นาย..เจ้าไม่ต้องเหนื่อยเช่นนั้นเพื่อข้า”

“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าอดอยากแน่ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ฉันไม่ได้อดอยาก แค่..ข้าหมายถึง หากเจ้าอยากกินไก่ก็ล่ามาเพื่อตัวเจ้าเอง ไม่ต้องทำเพื่อข้า เพราะข้าไม่ได้ชอบกินไก่ และอย่าเอาข้าไปเปรียบกับคนรักเก่าของเจ้า ข้าไม่ใช่เหมยฮวาตัวกินไก่นั่น”

“...” ใบหน้าของเอ้อร์กัวมืดมนทันใด เขากัดฟันด้วยความโมโหและเต็มไปด้วยริ้วของความเสียใจ

[1]ลิ่วอี้ (六艺) อันได้แก่ จารีต ดนตรี การยิงธนู ขับรถม้า คัดลายมือ และการคำนวณ ใครที่ชำนาญศิลปะทั้งหกนี้ ถือว่าเป็นมหาบุรุษผู้เลิศในความรู้ของประเทศจีนในสมัยโบราณ โดยศิลปะทั้งหกมีรากฐานจากปรัชญาขงจื๊อ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel