บทที่ 8 เตาเผา
เอ้อร์กัวรีบร้อนลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้งที่แสงแรกของวันยังไม่ลอดผ่านหน้าต่าง เขาจุดเตาไฟ ต้มน้ำข้าวจนมีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วเรือน จากนั้นจึงออกจากบ้าน เดินเท้าขึ้นเขาไปตามทางสายเล็กๆ ที่คดเคี้ยวเพื่อหาผักป่าและล่าสัตว์เช่นทุกวัน เขาอยากหนีไปอยู่ลำพัง ใช้เวลาเสียใจร้องไห้โดยอ้างกับตัวเองว่ามาทำงาน
เมื่อกลับมาถึงเรือนก็เกือบยามเซิน[1] แสงอาทิตย์ยามเย็นสีแดงเรื่อสะท้อนหนองน้ำที่ล้อมรอบหมู่บ้านทุ่งแดง ท้องฟ้าราวกับถูกระบายด้วยสีชาดอ่อนจาง ลำแสงสุดท้ายสาดกระทบเรือนเล็กใกล้แม่น้ำของเอ้อร์กัว ทำให้หลังคาหญ้าป๋ายเหมาเกิน[2]สีหม่นซีดดูเหมือนถูกเคลือบด้วยทองแดงบางๆ น้ำในแม่น้ำข้างหลังเรือนเอื่อยไหล สะท้อนเงาสีแดงระเรื่อที่ไหวพลิ้วดั่งผ้าไหมเนื้อดี
ทว่าภรรยาของเขากลับไม่อยู่ในเรือน ข้าวที่เขาต้มไว้ในหม้อก็ยังคงนิ่งสนิท ไม่มีใครแตะต้อง เขารู้สึกหายใจสะดุด หัวใจบีบรัดโดยไม่รู้สาเหตุ นางไม่กล้าแม้แต่กินข้าวขาวหรือ
วันนี้เขาได้ไก่ป่ามาตัวเดียว แต่โชคดีที่กับดักที่ตั้งไว้จับนกปี่อี้ได้ถึงสองตัว เมื่อเดินลงเขา ชายหนุ่มแวะไปหาลุงจางในหมู่บ้าน ขายไก่ตัวนั้นและนกปี่อี้ได้ไม่กี่อีแปะ เงินนั้นเขานำไปซื้อเมล็ดธัญพืชมาหุงแทนข้าวขาวซึ่งราคาแพงจนเขาเอื้อมไม่ถึง
เขาต้มเมล็ดธัญพืชกับหน่อไม้สดที่ขุดมา ระหว่างที่ไอร้อนลอยฟุ้งอยู่ในครัวเล็กๆ แสงสีแดงเข้มของดวงอาทิตย์เริ่มจางหาย กลายเป็นแสงสีเทาที่กลืนกินหมู่บ้านทุ่งแดง ท้องฟ้าครามเข้มแปรเปลี่ยนสู่ค่ำคืนอันมืดมิด
ขณะที่เขากำลังรอกินอาหารเย็นนั้นเอง เจี่ยนหรงก็เดินกลับเข้ามาในเรือน นางอาบน้ำจนตัวสะอาด กลิ่นหอมบางอย่างจางๆ อวลมากับร่างเล็ก คล้ายดอกไม้กับแตงกวา นางมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง พลางเดินไปนั่งผิงไฟข้างเตา
เอ้อร์กัวจ้องนางเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะเบือนสายตาหนี ความอึดอัดบางอย่างในอกทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากถามว่านางหายไปไหนมา แต่เขาเริ่มยกอาหารมาตั้งโต๊ะตัวเล็กกลางห้องครัวแคบๆ
“กินข้าวเถิด วันนี้ไม่มีไก่ เพราะต้องเอาไปแลกเป็นเงินอีแปะ เจ้า..รออีกสองสามวัน ข้าจะไปจับมาให้อีก ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ให้เจ้าอดอยากหรอก” เอ้อร์กัวพูด พลางตักข้าวธัญพืชที่ยังอุ่นใส่ถ้วย
“วันนี้มีอะไรกิน” เจี่ยนหรงเงยหน้าขึ้นจากเตาไฟ หันมามองเขา ดวงตาสดใสผิดคาด
“แค่หน่อไม้กับเมล็ดธัญพืช” เขาตอบเสียงเบารู้สึกผิดที่ตัวเองยากจน ทำให้ภรรยาไม่ได้กินอาหารดีๆ
ทันทีที่ได้ยิน เจี่ยนหรงกลับรีบกระโดดลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะด้วยท่าทีตื่นเต้นที่ปิดไม่มิด นางมองหม้อข้าวราวกับเป็นของล้ำค่า เมื่อเขาตักใส่ถ้วยให้ นางก็ยกซดจนลวกปาก
“ค่อยๆ กิน ไม่กลัวปากพองหรืออย่างไร ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้ากิน” เอ้อร์กัวอดบ่นไม่ได้ ราวกำลังบ่นเด็กน้อย แต่ในใจกลับรู้สึกเอ็นดูที่นางดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้
คืนนั้น เจี่ยนหรงกินมื้อเย็นไปมากจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ นางขอเติมเมล็ดธัญพืชถึงสามถ้วย
“หน่อไม้อร่อยมาก” นางยังเอ่ยปากชมพร้อมรอยยิ้ม ทั้งที่เขาไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลย
เอ้อร์กัวมองนางตักกินด้วยความหิวกระหาย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้ขนมหวาน ในใจเขาเกิดความรู้สึกอ่อนโยนอย่างประหลาด แม้จะยังไม่เข้าใจสิ่งที่นางคิดหรือเหตุผลที่นางดีใจเพียงแค่ได้กินอาหารเรียบง่าย แต่ภาพนั้นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนภาระในอกลดลงเล็กน้อย
“แค่หน่อไม้ธรรมดา..ดีใจอะไรกัน” เขาพึมพำเบาๆ พลางมองภรรยาที่กำลังเพลิดเพลินกับมื้อเย็นตรงหน้า
เมื่อก่อนเขาไปหาเหมยฮวาจะต้องต้มไก่ไปให้นางทุกครั้ง เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระอะไร และยังดีใจที่ทำให้หญิงคนรักมีความสุข แต่เมื่อไม่มีไก่ เขาก็ไม่กล้าไปหาเหมยฮวา
การที่เจี่ยนหรงยิ้มหน้าบานและกินเมล็ดธัญพืชอย่างเอร็ดอร่อย ความหนักอึ้งบางอย่างในใจของเขาคล้ายถูกปลดออก เขาเพิ่งเข้าใจว่าหากไม่ต้องหาไก่ทุกวัน เขาก็พอจะเลี้ยงดูภรรยาได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลทุกวันว่าจะไม่มีไก่ ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะไร้ค่าเพียงเพราะไม่มีไก่ไปให้ใครอีก
เป็นครั้งแรกที่เอ้อร์กัวรู้สึกเบาสบายกับภาระที่แบกอยู่
คืนนั้นเอ้อร์กัวนอนโดยไม่ร้องไห้เป็นคืนแรก อาจเพราะเขาขึ้นเขาทั้งวันจึงเหน็ดเหนื่อยมาก และหลับไปอย่างรวดเร็ว..
รุ่งขึ้นเขาตื่นมาก็ได้ยินเสียงบางอย่างหลังเรือน เขาออกไปดูก็พบว่าเจี่ยนหรงกำลังย่ำกองดินโคลนที่นางขุดขึ้นมาวันก่อน ลานหลังเรือนถูกนางถอนหญ้าจนสะอาด นางตั้งหน้าตั้งตาเล่นกองดินโคลนท่ามกลางแสงสะท้อนสีชาดจากเงาแม่น้ำ ดูประหลาดยิ่ง
“เจ้าทำอะไรอยู่” เขาถาม พร้อมขมวดคิ้ว เช้าเพียงนี้นางก็ออกมาเล่นดินแล้วหรือ นางจะเป็นหญิงบ้าเพียงใดก็ไม่ควรขยันเช่นนี้
“มาช่วยข้าที” นางเห็นเขาก็รีบเรียกให้เขามาช่วย
เขาเพิ่งรู้สึกว่ามีภรรยาเช่นนางก็ดีได้เพียงคืนเดียว เช้ามา นางก็ใช้ให้เขาเล่นดินโคลนกับนางแล้วหรือ เอ้อร์กัวหงุดหงิด แต่ก็ถูกภรรยาตัวเล็กลากไปช่วยย่ำดินอยู่ดี
“เจ้าจะทำอะไร..” เขาสังเกตว่าในดินโคลนพวกนั้นมีเศษหญ้าป๋ายเหมาเกินผสมอยู่ด้วย จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดูแล้วเท้าเล็กของนางจะถูกหญ้าบาดจนมีรอยแผล
“ทำเตาเผา” เจี่ยนหรงตอบเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้ม
“เตาเผาหรือ” เขาขมวดคิ้ว
“ใช่ ที่นี่อยู่ใกล้แม่น้ำ มีวัตถุดิบสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุเยอะ ดินโคลนก็คุณภาพดี จะต้องสร้างเตาเผาที่ให้ความร้อนสูงได้แน่” เจี่ยนหรงมองสำรวจไปรอบแม่น้ำ
“เล่นแร่แปรธาตุคือสิ่งใด..แล้วเจ้ารู้หรือว่าจะทำเตาเผาอย่างไร” เขามองสตรีร่างเล็กที่ย่ำดินโคลนข้างเขาอย่างสงสัย
“..ข้ารู้ก็พอแล้ว” นางไม่ยอมตอบคำถามใดทั้งสิ้น
“...” เขาคิดว่าภรรยาตัวเองคงเป็นบ้าจนสติเลอะเลือน
เมื่อพวกเขาย่ำดินจนส่วนผสมเข้ากันดี เจี่ยนหรงก็ก้าวไปหยิบไม้สองแท่งและเชือกถักจากเถาไม้เลื้อยเส้นยาวที่เตรียมไว้ นางใช้ไม้สองแท่งผูกบนปลายเส้นเชือกคนละด้าน แท่งหนึ่งปักไว้ตรงกลางลาน อีกแท่งจับดึงจนเชือกตึง นางค่อยๆ เดินวนรอบไม้ที่ปักอยู่ตรงกลาง ลากไม้ในมือขีดเส้นลงบนพื้นดินอย่างตั้งใจ เส้นที่นางลากค่อยๆ กลายเป็นวงกลมที่ชัดเจน ด้วยรัศมีประมาณหกฉื่อ[3]
เอ้อร์กัวมองภาพนั้นอย่างงุนงงและประหลาดใจ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการละเล่นของหญิงสติไม่ดี กลับเผยให้เห็นความรอบคอบและความชำนาญในวิธีการที่เขาไม่เคยคาดคิด นี่ไม่ใช่การเล่นโคลนธรรมดา เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า บางที..ภรรยาของเขาอาจไม่ได้เป็นหญิงบ้าอย่างที่เขาเข้าใจ
“ก็..ดูกลมดี” เขาชื่นชม
“หมายความว่าอย่างไร ดูกลม..มันไม่กลมหรือ” เจี่ยนหรงหันมามองเขา
“มันไม่กลม”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เจี่ยนหรงเงยหน้าขึ้น นางถึงขั้นทำวงเวียนใช้แล้ว มันยังไม่กลมได้อีกหรือ
“ข้าเห็น”
[1]ยามเซิน คือเวลา 15.00-16.59 นาฬิกา
[2]หญ้าป๋ายเหมาเกิน คือ หญ้าคา
[3]1 ฉื่อมีประมาณ 1 ศอก หรือ 33.3 เซนติเมตร ดังนั้น 3 ฉื่อ จึงเท่ากับ หนึ่งเมตรโดยประมาณ 6 ฉื่อจึงเท่ากับ 2 เมตร
