
ทะลุมิติมาเป็น หญิงบ้า ณ ทุ่งแดง
บทย่อ
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวิศวกรจากอนาคตต้องติดอยู่ในโลกอดีต..คนทั้งหมู่บ้านทุ่งแดงมองว่าลิลี่เป็นหญิงบ้าเสียสติ แต่สามีผู้ยากจนกลับเห็นว่านางฉลาดจนใต้หล้าตามไม่ทัน สิ่งที่นางสร้างล้วนแปลกประหลาดและซับซ้อน *** จู่ๆ หลี่เอ้อร์กัวก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ทุกคนในหมู่บ้านทุ่งแดงต่างรู้ว่านางเป็น หญิงบ้า แม้เขาจะมีคนรักอยู่แล้ว แต่เขายากจนเกินกว่าจะมีปากเสียง อีกทั้งสตรีสติฟั่นเฟืองนั่นยังบอกว่าอยากแต่งงานกับเขาอีก เขาจึงได้แต่จำใจแต่งงานกับหญิงบ้าผู้นั้น แต่หลังจากอยู่กันไป เขากลับพบว่าภรรยาประหลาดของเขาฉลาดมาก ทุกสิ่งที่นางทำล้วนเก่งกาจเกินกว่าเขาจะเข้าใจได้ ราวกับนางเป็นผู้ที่มาจากอนาคตอันไกลพ้น *********** “เจ้าจะทำอะไร” นางไม่ตอบคำถาม แต่กลับกดตัวเขาลงนั่งบนแผ่นหินข้างโอ่งดินใส่น้ำ ที่ซึ่งนางใช้สำหรับอาบน้ำทุกวัน เขาขัดขืนเล็กน้อย แต่นางกลับตีแขนของเขา ท่าทางมุ่งมั่นของนางทำให้เอ้อร์กัวต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี แม้จะหงุดหงิดเพียงใดก็ตาม เจี่ยนหรงดึงผ้ามัดผมของเขาออกอย่างรวดเร็ว ผ้ามัดผมนั้นทั้งเก่าและเปื้อนจนแทบดูไม่ออกว่าเคยมีสีอะไร นางมองมันด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะโยนทิ้งและตักน้ำในกระบวยไม้ราดลงบนศีรษะของเขาอย่างไม่ลังเล “นี่! เจ้า!” เขาอุทานเสียงหลงตกใจ แต่นางกลับไม่สนใจ เจี่ยนหรงหยิบกระบอกไม้ไผ่ใบเล็กที่วางอยู่ใกล้แผ่นหินขึ้นมา เทน้ำยาสีคล้ำลงบนเส้นผมของเขา ของเหลวนั้นกลิ่นเหม็นเขียวคละคลุ้งจนเขาต้องเบือนหน้าหนี แต่สองมือเล็กของนางกลับเกาผมให้เขาอย่างแรง ราวกับกำลังพยายามขุดรากถอนโคนอะไรบางอย่าง “หยุดนะ เจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าสติไม่ดีไปแล้วหรือ!” เขาบ่นแต่ไม่กล้าผลักมือนางออกไป ไม่กล้าลุกขึ้นหนีอย่างรุนแรง เพียงขัดขืนเล็กน้อยเพื่อแสดงออกว่าเขาไม่ยินยอม “โตจนป่านนี้ยังปล่อยให้มีเหาอีก เสียดายสมองฉลาดๆ” นางตำหนิเสียงแข็ง พลางเกาผมของเขาด้วยท่าทีขะมักเขม้น ไม่ยอมปล่อยให้เขาลุกขึ้นหนี หัวใจของเอ้อร์กัวกระตุกวูบ ใบหน้าแดงก่ำ คำพูดของนางทำให้เขาทั้งอับอายและแตกตื่น ยังดีที่แสงอาทิตย์สีชาดของบ้านทุ่งแดงช่วยกลบให้ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีเหา! “ข้าไม่มีเหา เจ้าพูดเรื่องอะไร..” เขาพยายามโต้เถียงด้วยเสียงที่เบา อับอายและเจือไปด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้ามีเหา” นางตอบห้วนๆ ขณะที่มือยังคงทำงานต่อไป “ข้าไม่..ไม่มี..” “ดูผมเจ้าเสียก่อน สกปรกจนไม่น่าเข้าใกล้! ข้านอนกับเจ้าหลายคืนจนข้าติดเหาไปด้วย ยังดีที่ข้าสระหัวทุกวัน ข้าจึงไม่มีเหาแล้ว แต่หากเจ้ายังมีเหาต่อไป ข้าก็ไม่หายขาดสักที วันนี้ข้าจึงทำน้ำยาฆ่าเหาให้เจ้าโดยเฉพาะ” เขานั่งนิ่งด้วยความกระดากอาย ใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกทั้งขุ่นเคืองและอับอายเกินกว่าจะยอมรับความจริง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าผลักไสมือของภรรยาที่ทำงานบนศีรษะของเขาอย่างขันแข็ง แม้นางจะไม่อ่อนโยนเลยสักนิดเดียว ***
บทที่ 1 บ้านทุ่งแดง
ท่ามกลางขุนเขาที่เรียงรายสูงเสียดฟ้า ราวกับกำแพงหินที่ปิดกั้นแดนเซียนจากภายนอก มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาลึก ชื่อของมันไม่ปรากฏบนแผนที่ใด
หมู่บ้านแห่งนี้ดูราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไม่มีเสียงรถม้าหรือความพลุกพล่านของตลาดเมืองใหญ่ จะมีก็เพียงเสียงหนวกหูของแม่น้ำกระทบง่อนหินที่ดังตลอดทั้งวันทั้งคืน นานๆ ครั้งถึงจะมีเสียงนกร้องประปราย
แม่น้ำสายหนึ่งทอดตัวไหลผ่านหมู่บ้าน เส้นทางน้ำคดเคี้ยวลัดเลาะทุ่งหญ้าและหมู่ไม้ใหญ่ บ้างก็แทรกตัวผ่านชายเลนและหนองน้ำ งดงามราวภาพวาด
ที่นี่ ผู้คนอยู่ตามยถากรรม บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากไม้เก่า ผุพังบ้างในบางจุด บางหลังปลูกยื่นลงไปในแม่น้ำ โดยมีเสาไม้พยุงโครงสร้างไว้ บางบ้านมีเรือลำเล็กๆ ผูกไว้ที่ท่าน้ำ เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับออกหาปลา ดูจืดชืดไร้สีสัน
เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบเขา แสงสีส้มแดงจะกระทบผิวแม่น้ำจนเป็นประกายระยิบระยับ น้ำที่เคยสงบนิ่งกลับดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยแสงเรืองรอง งดงามไม่ต่างจากวั่งเซียนกู่[1] พอตกเย็น แสงเดียวกันก็สะท้อนผิวน้ำย้อนกลับมายังบ้านเรือนอีกครั้ง ราวกับจะโอบล้อมหมู่บ้านด้วยอ้อมกอดสีชาด
แสงรุ่งอรุณและสนธยาของวัน เป็นสิ่งเดียวที่แต่งแต้มความสดใสให้หมู่บ้าน ทุกคนจึงเรียกที่นี่ว่า บ้านทุ่งแดง แต่ในความงดงามของธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งนี้ กลับแฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยว
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากความเจริญของเมืองหลวง ผู้คนต้องพึ่งพาตัวเองและทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว บางฤดูอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารและพืชพรรณน้ำ แต่บางฤดูก็เป็นเพียงการต่อสู้เพื่ออยู่รอดไปอีกวัน
ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าแก่ที่ทอดข้ามแม่น้ำ สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นจากฝีมือของชาวบ้านด้วยไม้ไผ่และเชือกธรรมชาติ แม้มันจะดูเรียบง่ายและเปราะบาง แต่ก็เป็นทางเชื่อมเดียวระหว่างสองฝั่งของหมู่บ้าน
ชายหนุ่มคนนั้นสวมชุดสีแดงที่ดูซีดหม่นจากการใช้งานมานาน เสื้อผ้าชุดนั้นไม่ได้ใหม่เอี่ยม แต่ถูกซักจนสะอาดหมดจด รอยเย็บปะตรงชายเสื้อบ่งบอกถึงความยากจน
วันนี้เขามีความสุขล้นปรี่ ทุกก้าวที่เขาเดินเหมือนจะบอกกับใต้หล้าว่าเขาคือผู้โชคดีที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาสวมชุดสีแดง เพราะนี่คือวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แม้ชุดนั้นจะเก่าและมีเพียงแค่ตัวเดียวที่พอหาเช่ามาได้ แต่ชุดแดงนี้ก็คือสัญลักษณ์แห่งความสุขและโชคดีในวันวิวาห์ของเขา
หลี่เอ้อร์กัว เป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สะดุดตา ใบหน้าคมคายรับกับดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความใสซื่อและตั้งใจ แม้ดวงตาจะดูขี้อาย แต่ก็ส่องประกายสดใสอย่างไม่ปิดบัง คิ้วคมตัดกับสันจมูกโด่งราวถูกปั้น ริมฝีปากบางได้รูปกำลังยิ้มแย้มมีความสุข จนไฝเม็ดเล็กใต้ริมฝีปากขยับไปด้านซ้ายเล็กน้อยอย่างน่ามอง
แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าใบหน้า คือรูปร่างแข็งแกร่งที่บ่งบอกถึงชีวิตของการตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่เยาว์วัย ไหล่กว้าง ลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือหยาบกร้านที่ผ่านการจับจอบเสียมทำงานหนักมาอย่างยาวนาน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาดูแตกต่างจากเหล่าบัณฑิตทั่วไป ในขณะที่บัณฑิตสองสามคนในหมู่บ้านมักมีรูปร่างผอมบาง อ่อนนุ่ม และดูน่าทะนุถนอมราวกับหยกแกะสลัก รูปร่างของเขากลับดูเหมือนหินผาที่ถูกสกัดด้วยลมฝน และความยากจน
แม้เขาจะเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรู้และปัญญา เขารักการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ใช้เวลาในวัยเยาว์ศึกษาอยู่กับหลวงจีนซางปิงในวัดที่ตั้งอยู่เชิงเขา หลวงจีนผู้ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และผู้ปกครอง
กระนั้น ความรู้ของเขากลับไม่ได้รับการยอมรับจากบัณฑิตในหมู่บ้าน แม้หลายคนจะยอมรับในความสามารถ แต่ไม่ได้ยกย่องเขาเป็นบัณฑิต อาจเพราะเสื้อผ้าที่เก่าและความที่เขาเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มรับ
หลี่เอ้อร์กัว เดินเท้าผ่านแม่น้ำและทางที่คดเคี้ยว จนใกล้ถึงเรือนหลังใหญ่เพียงหลังเดียวในหมู่บ้านทุ่งแดง เรือนหลังนี้เป็นที่พำนักของลุงผู้ใหญ่บ้าน ท่านลุงต้าซาน ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการให้ดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้าน
หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น นึกถึงหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ เหมยฮวา บุตรสาวของผู้ใหญ่บ้าน เขาและนางแอบคบหากันมาสักพักใหญ่แล้ว
เขาและนางแอบพบกันมาหลายครั้ง ท่ามกลางเงาไม้และความเงียบสงบของหมู่บ้านเล็กๆ ความรักของพวกเขาเบ่งบานจนยากจะยับยั้ง ทั้งสองได้มอบกายและใจให้กันนานแล้ว
เขาเอ่ยปากขอนางแต่งงานหลายครั้งเพื่อรับผิดชอบต่อความเห็นแก่ตัวที่พรากความบริสุทธิ์ของนาง แม้เหมยฮวาจะไม่ได้เหนียมอายเรื่องในห้องหอ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมรับปากแต่งงานกับเขา กระทั่งเดือนก่อน นางก็ยอมรับปากว่าจะบอกกับบิดาเรื่องแต่งงานของพวกเขา
ลุงต้าซานได้เรียกเอ้อร์กัวเข้าไปพูดคุย บอกให้เขาเตรียมตัวและสวมชุดแดงสำหรับวันสำคัญ พร้อมยื่นฤกษ์วันมงคลให้ วันนี้เขาจึงมาด้วยหัวใจที่พองโต เพื่อรับหญิงสาวที่เขารักเข้าสู่เรือนหอที่เขาใช้เวลาทั้งเดือนเพียรสร้างขึ้นมา แม้จะเล็กไปบ้าง แต่ก็พออยู่กันสองคน
เมื่อหลี่เอ้อร์กัวมาถึงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เขาก็ต้องตกใจอยู่บ้าง ฝูงชนมากมายที่มารวมตัวกันอย่างคึกคัก ทุกคนต่างส่งเสียงแสดงความยินดีในวันสำคัญของเขา
“เอ้อร์กัวน้อย ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้”
“ดียิ่งนัก ข้ายังนึกกลัวว่าเจ้าจะครองโสดและบวชเป็นหลวงจีนตามอาจารย์ของเจ้าไปอีกคน”
“ดีๆ ๆ ยินดีด้วย”
“ดีแล้วเอ้อร์กัวน้อย รักกันจนแก่เฒ่านะ”
ทุกคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือเล็กน้อยจากเขาต่างแสดงความยินดีในงานมงคล เอ้อร์กัวรู้สึกหัวใจพองโต ไม่คิดว่าลุงต้าซานจะใจดีเช่นนี้ ถึงขั้นเชิญทุกคนมาร่วมงานแต่งของเขา เดิมทีเขาคิดว่าลุงต้าซานที่ถือเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาจะไม่พอใจที่เหมยฮวาเลือกคนยากจนเช่นเขา ที่แท้เป็นเขาเองที่ใจแคบ
ชายหนุ่มก้มลงคำนับขอบคุณทุกคนด้วยความรู้สึกผิด แม้จะรู้สึกกังวลที่ไม่อาจหาเงินทองมากมายมาจัดเลี้ยงอาหารรสเลิศให้ทุกคนที่มาร่วมแสดงความยินดี
ที่หน้าประตูบ้าน ลุงต้าซานยืนเด่นในชุดเต็มยศ ข้างกายคือ เหมยฮวา บุตรสาวของเขา นางยิ้มบางเบา ใบหน้าขาวผ่องราวกับหยก แววตาสุขุม แต่งดงามและน่าทะนุถนอมจนเอ้อร์กัวต้องกลั้นหายใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะคือ ชุดที่นางสวมอยู่…
นางเพียงสวมชุดผ้าไหมสีอ่อนตามปกติที่นางชอบสวมใส่ ตรงกันข้ามกับชุดแดงที่เขาคิดว่าจะได้เห็น เอ้อร์กัวขมวดคิ้วเล็กน้อย ความงุนงงผุดขึ้นมาในใจท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีรอบข้าง
เหตุใดเจ้าสาวของเขาถึงไม่ได้ใส่ชุดแดง
[1]หุบเขาวั่งเซียนกู่ หรือ หุบเขาเทวดา เป็นสถานที่งดงามและมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของเทวดา ถูกขนานนามว่าเป็นบ้านเกิดของเซียน
