บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 เล่นดินโคลน

“เจ้ารออยู่ที่นี่ อย่าไปไหน ข้าจะขึ้นเขาสักพัก” เขาพูดเสียงเรียบ แต่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาเอาแต่เสียใจเรื่องเหมยฮวาจนไม่ได้ดูแลภรรยาของเขาให้ดี

เจี่ยนหรงเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เอ้อร์กัวเข้าไปหยิบมีดในครัวและตะกร้าไผ่สานแบกขึ้นหลัง ก่อนจะเดินออกไปจากเรือน ตรงไปยังเส้นทางขึ้นเขาเพื่อจับไก่ป่าสักตัว เขาตั้งใจว่าจะนำมันมาต้มให้ภรรยาของเขาได้กินดีขึ้นอย่างที่นางสมควรจะได้รับ ไม่ใช่แค่ผักต้มเกลือที่ไร้รสชาติ

อากาศอบอ้าวของยามเช้าพัดผ่านเขาขณะก้าวเดิน ลึกๆ ในใจ เอ้อร์กัวรู้ว่าความเจ็บปวดของเขายังไม่ได้หายไปไหน เขายังไม่อาจลืมเหมยฮวา แต่นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ เพื่อชดเชยให้กับภรรยาที่สติไม่ค่อยสมประกอบ

ปลายยามอู่[1] เอ้อร์กัวกลับมาถึงเรือนพร้อมไก่ป่าตัวอ้วนสองตัวในมือและผักป่า ท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่ส่องผ่านแม่น้ำไหลเอื่อยอยู่ด้านหลังบ้าน บรรยากาศยามบ่ายชวนให้รู้สึกสงบ แต่ภาพที่เขาเห็นกลับทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง

เจี่ยนหรง ภรรยาตัวเล็กของเขา กำลังนั่งขุดดินโคลนอยู่ริมแม่น้ำ เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่ม ดินโคลนเกาะแน่นไปทั่วร่าง ดูเหมือนเด็กน้อยที่เล่นซนโดยไม่สนใจความเรียบร้อยของตัวเอง

เอ้อร์กัวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใจเขาเหมือนถูกบีบด้วยความอึดอัด เขาคิดไว้แล้วว่าจะดูแลนางให้ดีที่สุด จะมอบสิ่งที่นางสมควรได้รับ แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับกระทบความรู้สึกของเขาอย่างรุนแรง

ภรรยาของเขาดูเหมือนไม่ใช่สตรีหรือหญิงสาวที่โตแล้ว นางเหมือนเด็กเล็กที่ไม่รู้อะไรนอกจากเล่นซน และนั่นทำให้ความตั้งใจของเขาสั่นคลอน เขาเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น สูดหายใจลึก พยายามสะกดอารมณ์ขมขื่นที่ถาโถมเข้ามา

เขารู้ว่าความคิดนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดหวังแทรกซึมอยู่ในทุกอณูหัวใจ เขาก้าวเท้าเข้าครัว วางไก่ป่าลง รีบจุดเตาต้มน้ำ ถอนขนไก่อย่างเงียบเชียบ ความเงียบในครัวช่วยให้เขาสงบลงบ้าง แต่ลึกๆ แล้ว เขายังคงพยายามต่อสู้กับความรู้สึกที่ว่า เจ้าสาวของเขาไม่เป็นอย่างที่เขาฝันไว้แม้แต่น้อย

“ข้า..แต่งงานกับนางแล้ว” เขาพึมพำกับตัวเองขณะก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหาร คำพูดนั้นคล้ายพูดกับตัวเขาที่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์นี้จะเดินต่อไปทางใด แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำใจและดูแลหญิงบ้าผู้นั้นเท่านั้น

บ้านของเอ้อร์กัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงแม่น้ำไหลหลังบ้านและน้ำในหม้อเดือดปุดๆ บนเตา เขามองดูไก่ป่าตัวอ้วนที่ต้มจนเปื่อยในน้ำใสๆ ไม่มีเครื่องปรุงแม้แต่น้อย เกลือในบ้านเหลือเพียงหยิบมือเดียว เขาตัดสินใจเก็บไว้ใช้ในวันอื่น และทำได้เพียงปล่อยให้ไก่ตุ๋นในน้ำจนเนื้อนุ่มแทนรสชาติที่ขาดไป

เมื่อไก่เปื่อยดีแล้ว เขาแบ่งไก่ตัวหนึ่งห่อด้วยใบบัวอย่างเรียบร้อย อีกตัวถูกตักใส่ชามไม้ธรรมดาไว้สำหรับมื้อแรกของภรรยา เขายืนมองชามนั้นอย่างครุ่นคิด

“เจี่ยนหรง ขึ้นมากินข้าวก่อนเถิด” เขาเดินออกไปเรียกภรรยาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เห็นนางนั่งอยู่ริมแม่น้ำ ข้างตัวมีกองดินโคลนสูงท่วมหัว นางหันมองเขาอย่างไร้เดียงสา เนื้อตัวเปื้อนดินโคลนสกปรก

เขาเบือนหน้าหนีทันทีที่ใจเริ่มหดหู่ ความอึดอัดในใจพอกพูนจนเขาไม่อาจทนมองได้นาน ลึกๆ แล้วเขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนฉลาดมีความรู้ ติดก็เพียงความจน เขาคิดตลอดว่าเขาจะได้แต่งกับสตรีดีงามสักคน หรืออย่างน้อยต้องเป็นคนฉลาดเช่นเหมยฮวา แต่การที่เขาต้องแต่งให้หญิงบ้าเช่นนี้ ออกจะทำใจยอมรับได้ยากจริงๆ

“ข้าจะขึ้นวัด ไปหาอาจารย์เสียหน่อย” เขาเอ่ยตัดบท ยกห่อใบบัวขึ้นชี้ให้นางเห็น ราวกับชูหลักฐานเพื่อยืนยันคำแก้ตัวของเขา

“เจ้าจะขึ้นไปบนวัดเหรอ” นางตะโกนถามกลับมา เสียงสั่นเล็กน้อย คล้ายแช่อยู่ในน้ำนานจนเริ่มหนาว

“ข้าจะเอาไก่ไปให้อาจารย์ได้กินด้วย เจ้าก็รีบขึ้นมากินไก่ที่ข้าต้มไว้ให้ได้แล้ว อย่าแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

เจี่ยนหรงพยักหน้า นางส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย นัยน์ตาแวววาวรู้สึกขอบคุณที่เขาทำอาหารให้ เอ้อร์กัวไม่กล้าสบตานางนาน เขารู้ดีว่าการตัดสินใจนี้มันน่าอับอายและเห็นแก่ตัว แต่เขาไม่อาจนั่งลงร่วมโต๊ะกับภรรยาที่ดูสกปรกและไม่สมประกอบเช่นนี้ได้

เขาออกเดินทางไปวัดอย่างเร่งรีบ หวังเพียงให้ความอึดอัดในอกบรรเทาลง แต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขายังคงนึกถึงสายตาที่เจี่ยนหรงส่งให้เขาด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ ทั้งที่เขาพยายามหลบหน้านาง นัยน์ตานางนั้นไร้เดียงสานั้นไม่ต่างจากมีดคมที่บาดลึกลงในความรู้สึกผิดของชายหนุ่ม แต่เขาก็ยังต้องทำใจว่าตัวเองแต่งงานกับหญิงบ้าผู้หนึ่งแล้วจริงๆ

แสงอาทิตย์ยามบ่ายอาบไปทั่วเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นสู่ยอดเขา เอ้อร์กัวเดินขึ้นไปทางเชิงเขาเงียบๆ ห่อใบบัวในมือยังอุ่นอยู่ มีกลิ่นไก่ต้มจางๆ โชยขึ้นมา แต่หัวใจของเขาหนักอึ้งเหมือนก้อนหิน เขาไม่ได้ตั้งใจขึ้นวัดเพียงเพื่อนำไก่มาให้อาจารย์ แต่เพราะเขาไม่รู้จะจัดการกับความวุ่นวายในใจตนเองได้อย่างไร

เมื่อถึงวัด เขาพบหลวงจีนซางปิงอยู่ใต้ต้นแปะก๊วย มือกำลังปัดฝุ่นออกจากโต๊ะไม้เก่าๆ เอ้อร์กัววางห่อใบบัวลงเบื้องหน้าอาจารย์ ก้มศีรษะเคารพก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเบา

“อาจารย์ ข้านำไก่มาฝากขอรับ”

“เจ้ามาแล้วหรือ แต่งงานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้า..แต่งงานแล้วขอรับ แต่ไม่ใช่เหมยฮวา”

ดวงตาของหลวงจีนซางปิงปรากฏแววฉงน แต่เมื่อเอ้อร์กัวเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่การถูกเหมยฮวาเฉยชา จนถึงการถูกผู้ใหญ่บ้านจัดงานแต่งให้กับหญิงบ้าผู้ไร้ที่พึ่ง บุตรีบุญธรรมของสองตายายกัวเหอที่เพิ่งเสียชีวิตจากการถูกไฟไหม้เรือน หลวงจีนซางปิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาว

“เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะไม่ฟังคำพูดของข้า ข้าบอกให้เจ้าละทางโลก ตั้งแต่ครั้งที่เจ้ามัวเมาหลงใหลเหมยฮวา หากเจ้ายอมออกบวชเสียแต่แรก เจ้าจะไม่ต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายเช่นนี้” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

เอ้อร์กัวนิ่งงัน รู้ว่าอาจารย์พูดถูก แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบในอก

“แม้ข้าจะสงสารเจ้า แต่ครั้งนี้ข้าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว” อาจารย์กล่าวพลางมองเขาอย่างเห็นใจ

“ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ ลิลี่เจี่ยนหรง..นางประหลาดยิ่งนัก ข้า..ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรดี” เอ้อร์กัวขมวดคิ้วมุ่น

“ดูแลภรรยาของเจ้าให้ดีเถิด ถือเสียว่าเป็นเวรกรรม นางไม่มีใครอีกแล้ว แค่สติไม่สมประกอบ นางก็น่าสงสารมากพออยู่แล้ว เจ้าอย่าทำร้ายนางด้วยอีกคนเลย”

คำพูดเหล่านั้นเหมือนค้อนทุบลงกลางอก เอ้อร์กัวทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเงียบงัน เขารู้ว่าตนเองหลีกหนีหน้าที่นี้ไม่ได้ เมื่อพระอาทิตย์ลับยอดเขา เอ้อร์กัวจึงได้แต่ต้องกลับลงมา เพราะหลวงจีนซางปิงไม่ยอมให้เขาอยู่บนวัดนาน ต่อให้เขาจะพยายามหางานทำ พยายามจับทุกอย่างช่วยอาจารย์ทำงาน คล้ายอยากกตัญญู แต่ก็ถูกไล่ให้รีบลงมาอยู่ดี

[1]ยามอู่ คือเวลา 11.00-12.59 นาฬิกา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel