บทที่ 4 ไฟสีขาว
เอ้อร์กัวรอจนใกล้ฟ้ามืด เขากินมื้อเย็นไปเล็กน้อย แต่เพราะกำลังเสียใจจึงกินไม่ได้มาก เขามองไปยังเส้นทางที่เริ่มมืดลงทุกที แต่ภรรยาตัวเล็กของเขาก็ยังไม่กลับมา
เขามองกลับมายังผักป่าที่ถูกต้มอย่างดีและข้าวขาวซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อาหารเช่นนี้ไม่ควรกินในวันแต่งงานเลยจริงๆ แต่เงินทั้งหมดที่มีเขาก็เอาไปเช่าชุดแดงเก่าขาดนั่นแล้ว หากเขาได้แต่งกับเหมยฮวา เขาเองก็คงทำใจยอมรับให้นางกินอาหารเช่นนี้ไม่ได้
แม้ปกติเขาจะไม่มีโอกาสได้กินข้าวขาวด้วยซ้ำ แต่ในวันแต่งงานเช่นนี้ เขายอมหุงข้าวเพื่อให้ภรรยาได้กิน แม้ภรรยาของเขาจะไม่ใช่คนที่เขาคิดไว้ก็ตาม หากเป็นเหมยฮวา นางคงไม่ยอมกินผักป่านี่แน่ นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี จะกินอาหารยากจนเช่นนี้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มคิดถึงคนรักเก่า และจมลงสู่ความเศร้าอีกครั้ง ลืมเลือนภรรยาที่เขาควรเฝ้ารอและเป็นห่วง
หมู่บ้านทุ่งแดงที่เคยสว่างไสวด้วยสีชาด ยามนี้มืดมิดจนแทบไม่เห็นดวงไฟ เป็นเพราะทุกคนที่นี่ยากจน กลางคืนจึงไม่ค่อยมีใครจุดไฟ เพราะเปลืองเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะน้ำมัน เทียน หรือฟืนที่แห้งก็ล้วนหายาก ดังนั้นหลายบ้านจึงเลือกนอนตั้งแต่หัวค่ำ มีบ้านเพียงไม่กี่หลังคาที่ร่ำรวยจนสามารถจุดโคมในเวลากลางคืนได้
เอ้อร์กัวที่ยากจนมาก แต่ต้องตัดใจใช้น้ำมันจุดไฟในตะเกียงอันเล็กเพื่อรอภรรยาตัวเล็กของเขา นางบอกว่าจะไปเก็บของจากบ้านเดิม ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่นอกฝั่งแม่น้ำ แม้จะไกลอยู่บ้าง แต่เดินเร็วหน่อยก็คงไม่ต้องใช้เวลานานเช่นนี้
เอ้อร์กัวเริ่มเป็นห่วงว่าภรรยาอาจจะเกิดเหตุอันใดขึ้น เขาเริ่มรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยนางให้กลับไปที่บ้านเดิมตามลำพัง แต่คิดอีกครั้ง นางอาจแค่ไม่ต้องการมาเข้าหอกับเขา แม้วันนี้จะเป็นวันกราบไหว้ฟ้าดิน แต่ชายหนุ่มรู้ตัวว่าตัวเองยากจน ต่อให้เป็นสตรีสติเฟื่อง บางทีนางก็อาจไม่อยากแต่งงานกับเขาก็เป็นได้
เขาพยายามใจเย็นและคิดให้รอบคอบ เขารู้ดีว่านางคงไม่เข้าใจในพิธีกรรมเหล่านี้ อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีสติไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะทำหน้าที่ของสามีให้ดี แม้จะไม่ได้มีความรักให้แก่กัน ด้วยความรู้สึกรับผิดชอบและความเมตตา เขาตั้งใจจะดูแลนางไปตามหน้าที่ แต่ในใจลึกๆ เขายังคงรู้สึกขัดแย้งและโมโหอยู่ไม่น้อย
เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขารู้สึกขุ่นเคืองต่อเจี่ยนหรง ภรรยาที่เขาไม่ได้เลือก แต่กลับถูกบังคับให้แต่งงานด้วย เขากำหมัดแน่น ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดชีวิตของเขาต้องมาถึงจุดนี้ เขาอยากจะหนีไปจากที่นี่เสียให้พ้น แต่เขารู้ดีว่าเขาไม่อาจหนีพ้นพันธะที่สังคมผูกไว้
ระหว่างที่กำลังหงุดหงิด เอ้อร์กัวก็เหลือบไปเห็นไฟสีขาวดวงหนึ่งส่องสว่างยิ่งกว่าโคม เขาตกใจจนนึกว่าได้เห็นแสงเทพหรือปีศาจตนใด ต้องขยี้ตาหลายครั้งกว่าจะแน่ใจว่าเขาเห็นจริงหรือไม่
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระริก แสงสว่างสีขาววาบไปมาตามเส้นทางมืดมิด ส่องประกายเจิดจ้าราวกับดวงดาวตกลงมาจากฟากฟ้า หรือไม่ก็ส่องสว่างราวกับดวงตาของมังกร เขาไม่เคยเห็นแสงสีขาวบริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ความกลัวและความสงสัยผสมปนกันในใจ
เอ้อร์กัวรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาเบือนหน้าหนีจากแสงสว่างนั้นไม่กล้าที่จะมองตรงไป แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองแสงสว่างนั้นอีกครั้ง
แสงสว่างเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่บริเวณใกล้เรือนไม้ของเขา เอ้อร์กัวรีบวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูให้ชัดเจนขึ้น แต่ทันใดนั้นแสงสว่างก็ดับวูบลงไปราวกับถูกสิ่งใดกลืนกิน ความมืดมิดกลับมาปกคลุมอีกครั้ง
แม้จะกลัวแต่ด้วยความสงสัย เขารีบเปิดประตูออกไปดูให้แน่ใจ เขาไม่พบสิ่งใด แต่กลับมีเงามืดหนึ่งกำลังเดินออกมาจากบริเวณที่เคยสว่างจ้านั้น หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวด้วยความกลัว จ้องมองไม่กะพริบตา
เสียงคล้ายฝีเท้าค่อยๆ เข้ามาใกล้ เอ้อร์กัวยืนมองพร้อมกลั้นหายใจ เขาตั้งใจว่าหากเป็นปีศาจกินคน เขาก็ยินดีจะตายเพื่อให้ได้รู้ได้เห็นกับตาสักครั้ง เพราะตลอดมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย
แต่สิ่งที่ออกมาจากความมืดกลับกลายเป็นภรรยาตัวน้อยของเขา ความกลัวของเขาค่อยๆ จางหายไปเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ความสงสัยยังคงอยู่ เขาไม่เข้าใจว่าแสงสว่างประหลาดนั้นคืออะไรกันแน่ และเหตุใดถึงหายไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น
“เจ้า..เจี่ยนหรง เหตุใดเป็นเจ้า”
“ห๋า..” หญิงสาวงุนงง ในมือของนางมีเพียงห่อผ้าเล็กๆ ไร้ซึ่งโคมไฟ หรือสิ่งใดก็ตามที่จะมีลักษณะเหมือนโคมไฟ
“เจ้าเห็นแสงไฟสีขาวนั่นหรือไม่” เขายืนหลังตรงถามภรรยา
“..ไฟอะไรนะ” นางทำท่าไม่เข้าใจ
“เจ้าเดินทางมืดๆ ได้อย่างไร” เขายังคงสงสัย
“ก็เดินมาไง”
“เจ้ามองไม่เห็นทางแล้วจะเดินมาได้อย่างไร”
“เฮอะ ทีเจ้าออกไปเหมยฮวายามมืดๆ เจ้ายังเดินได้เลยไม่ใช่หรือ” นางหลบสายตา และใช้เรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายต้องหุบปากมาแก้ต่างให้ตัวเอง
และเป็นดังที่นางคาด เอ้อร์กัวเงียบไปทันใด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังกัดฟัน ยังดีที่ยามนี้มืดมากแล้ว เขาเองก็หงุดหงิดจึงไม่ได้สังเกตสายตาของหญิงสาวตัวเล็ก
“เข้าบ้านเถิด ดึกมากแล้ว” เขาเพียงหันหลังเข้าบ้าน ไม่อยากพูดหรือคิดถึงเหมยฮวา และเรียกภรรยาที่มีโอกาสว่าอาจจะเป็นปีศาจหรือสิ่งแปลกประหลาดเข้าไปข้างในบ้านด้วยกัน
“เจ้ารอข้าอยู่หรือ”
“...” เขาเข้าไปในเรือนหอและไม่คิดตอบคำถามอีกฝ่าย
“ฉันไปอาบน้ำน่ะ ก็เลยใช้เวลาไปนาน ขอโทษด้วยที่ให้รอ..แบบว่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรออยู่”
“คืนนี้เป็นคืนเข้าหอ เจ้าจะให้ข้านอนก่อนและทิ้งเจ้าไว้ข้างนอกหรือ” เขาหันมาตะคอกด้วยความหงุดหงิด นี่นางคิดว่าเขาเป็นบุรุษเช่นไร แม้แต่รอเข้าห้องกับภรรยาในคืนแรก เขาก็ไร้น้ำใจในสายตานางหรืออย่างไร
“...” เจี่ยนหรงกำห่อผ้าของนางแน่น คล้ายหวาดกลัวว่าเขาอาจอยากเข้าหอกับนางจริงๆ
แต่เอ้อร์กัวกลับผลักบานประตูไม้เข้าไปในบ้าน เตียงไม้หลังใหม่ที่เขาเตรียมไว้สำหรับเหมยฮวาตั้งเด่นอยู่กลางห้อง เรือนไม้หลังนี้ดูจะคับแคบ แต่เตียงนอนกลับกว้างขวางพอที่จะนอนได้สองคนสบายๆ เขาเคยตั้งใจทำเตียงนี้ให้กว้าง เพราะเหมยฮวาไม่ชอบนอนที่แคบเกินไป แต่ยามนี้ เตียงหลังนี้มีไว้เพื่อยืนยันว่านางไม่ต้องการเขา
