บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 บ้านทุ่งแดง

ท่ามกลางขุนเขาที่เรียงรายสูงเสียดฟ้า ราวกับกำแพงหินที่ปิดกั้นแดนเซียนจากภายนอก มีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาลึก ชื่อของมันไม่ปรากฏบนแผนที่ใด

หมู่บ้านแห่งนี้ดูราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไม่มีเสียงรถม้าหรือความพลุกพล่านของตลาดเมืองใหญ่ จะมีก็เพียงเสียงหนวกหูของแม่น้ำกระทบง่อนหินที่ดังตลอดทั้งวันทั้งคืน นานๆ ครั้งถึงจะมีเสียงนกร้องประปราย

แม่น้ำสายหนึ่งทอดตัวไหลผ่านหมู่บ้าน เส้นทางน้ำคดเคี้ยวลัดเลาะทุ่งหญ้าและหมู่ไม้ใหญ่ บ้างก็แทรกตัวผ่านชายเลนและหนองน้ำ งดงามราวภาพวาด

ที่นี่ ผู้คนอยู่ตามยถากรรม บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากไม้เก่า ผุพังบ้างในบางจุด บางหลังปลูกยื่นลงไปในแม่น้ำ โดยมีเสาไม้พยุงโครงสร้างไว้ บางบ้านมีเรือลำเล็กๆ ผูกไว้ที่ท่าน้ำ เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับออกหาปลา ดูจืดชืดไร้สีสัน

เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบเขา แสงสีส้มแดงจะกระทบผิวแม่น้ำจนเป็นประกายระยิบระยับ น้ำที่เคยสงบนิ่งกลับดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยแสงเรืองรอง งดงามไม่ต่างจากวั่งเซียนกู่[1] พอตกเย็น แสงเดียวกันก็สะท้อนผิวน้ำย้อนกลับมายังบ้านเรือนอีกครั้ง ราวกับจะโอบล้อมหมู่บ้านด้วยอ้อมกอดสีชาด

แสงรุ่งอรุณและสนธยาของวัน เป็นสิ่งเดียวที่แต่งแต้มความสดใสให้หมู่บ้าน ทุกคนจึงเรียกที่นี่ว่า บ้านทุ่งแดง แต่ในความงดงามของธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งนี้ กลับแฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยว

หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากความเจริญของเมืองหลวง ผู้คนต้องพึ่งพาตัวเองและทรัพยากรที่มีอยู่รอบตัว บางฤดูอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารและพืชพรรณน้ำ แต่บางฤดูก็เป็นเพียงการต่อสู้เพื่ออยู่รอดไปอีกวัน

ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนสะพานไม้เก่าแก่ที่ทอดข้ามแม่น้ำ สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นจากฝีมือของชาวบ้านด้วยไม้ไผ่และเชือกธรรมชาติ แม้มันจะดูเรียบง่ายและเปราะบาง แต่ก็เป็นทางเชื่อมเดียวระหว่างสองฝั่งของหมู่บ้าน

ชายหนุ่มคนนั้นสวมชุดสีแดงที่ดูซีดหม่นจากการใช้งานมานาน เสื้อผ้าชุดนั้นไม่ได้ใหม่เอี่ยม แต่ถูกซักจนสะอาดหมดจด รอยเย็บปะตรงชายเสื้อบ่งบอกถึงความยากจน

วันนี้เขามีความสุขล้นปรี่ ทุกก้าวที่เขาเดินเหมือนจะบอกกับใต้หล้าว่าเขาคือผู้โชคดีที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ เขาสวมชุดสีแดง เพราะนี่คือวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แม้ชุดนั้นจะเก่าและมีเพียงแค่ตัวเดียวที่พอหาเช่ามาได้ แต่ชุดแดงนี้ก็คือสัญลักษณ์แห่งความสุขและโชคดีในวันวิวาห์ของเขา

หลี่เอ้อร์กัว เป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สะดุดตา ใบหน้าคมคายรับกับดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความใสซื่อและตั้งใจ แม้ดวงตาจะดูขี้อาย แต่ก็ส่องประกายสดใสอย่างไม่ปิดบัง คิ้วคมตัดกับสันจมูกโด่งราวถูกปั้น ริมฝีปากบางได้รูปกำลังยิ้มแย้มมีความสุข จนไฝเม็ดเล็กใต้ริมฝีปากขยับไปด้านซ้ายเล็กน้อยอย่างน่ามอง

แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าใบหน้า คือรูปร่างแข็งแกร่งที่บ่งบอกถึงชีวิตของการตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่เยาว์วัย ไหล่กว้าง ลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มือหยาบกร้านที่ผ่านการจับจอบเสียมทำงานหนักมาอย่างยาวนาน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาดูแตกต่างจากเหล่าบัณฑิตทั่วไป ในขณะที่บัณฑิตสองสามคนในหมู่บ้านมักมีรูปร่างผอมบาง อ่อนนุ่ม และดูน่าทะนุถนอมราวกับหยกแกะสลัก รูปร่างของเขากลับดูเหมือนหินผาที่ถูกสกัดด้วยลมฝน และความยากจน

แม้เขาจะเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรู้และปัญญา เขารักการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ใช้เวลาในวัยเยาว์ศึกษาอยู่กับหลวงจีนซางปิงในวัดที่ตั้งอยู่เชิงเขา หลวงจีนผู้ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และผู้ปกครอง

กระนั้น ความรู้ของเขากลับไม่ได้รับการยอมรับจากบัณฑิตในหมู่บ้าน แม้หลายคนจะยอมรับในความสามารถ แต่ไม่ได้ยกย่องเขาเป็นบัณฑิต อาจเพราะเสื้อผ้าที่เก่าและความที่เขาเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อแม่ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มรับ

หลี่เอ้อร์กัว เดินเท้าผ่านแม่น้ำและทางที่คดเคี้ยว จนใกล้ถึงเรือนหลังใหญ่เพียงหลังเดียวในหมู่บ้านทุ่งแดง เรือนหลังนี้เป็นที่พำนักของลุงผู้ใหญ่บ้าน ท่านลุงต้าซาน ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการให้ดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้าน

หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น นึกถึงหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ เหมยฮวา บุตรสาวของผู้ใหญ่บ้าน เขาและนางแอบคบหากันมาสักพักใหญ่แล้ว

เขาและนางแอบพบกันมาหลายครั้ง ท่ามกลางเงาไม้และความเงียบสงบของหมู่บ้านเล็กๆ ความรักของพวกเขาเบ่งบานจนยากจะยับยั้ง ทั้งสองได้มอบกายและใจให้กันนานแล้ว

เขาเอ่ยปากขอนางแต่งงานหลายครั้งเพื่อรับผิดชอบต่อความเห็นแก่ตัวที่พรากความบริสุทธิ์ของนาง แม้เหมยฮวาจะไม่ได้เหนียมอายเรื่องในห้องหอ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมรับปากแต่งงานกับเขา กระทั่งเดือนก่อน นางก็ยอมรับปากว่าจะบอกกับบิดาเรื่องแต่งงานของพวกเขา

ลุงต้าซานได้เรียกเอ้อร์กัวเข้าไปพูดคุย บอกให้เขาเตรียมตัวและสวมชุดแดงสำหรับวันสำคัญ พร้อมยื่นฤกษ์วันมงคลให้ วันนี้เขาจึงมาด้วยหัวใจที่พองโต เพื่อรับหญิงสาวที่เขารักเข้าสู่เรือนหอที่เขาใช้เวลาทั้งเดือนเพียรสร้างขึ้นมา แม้จะเล็กไปบ้าง แต่ก็พออยู่กันสองคน

เมื่อหลี่เอ้อร์กัวมาถึงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เขาก็ต้องตกใจอยู่บ้าง ฝูงชนมากมายที่มารวมตัวกันอย่างคึกคัก ทุกคนต่างส่งเสียงแสดงความยินดีในวันสำคัญของเขา

“เอ้อร์กัวน้อย ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้”

“ดียิ่งนัก ข้ายังนึกกลัวว่าเจ้าจะครองโสดและบวชเป็นหลวงจีนตามอาจารย์ของเจ้าไปอีกคน”

“ดีๆ ๆ ยินดีด้วย”

“ดีแล้วเอ้อร์กัวน้อย รักกันจนแก่เฒ่านะ”

ทุกคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือเล็กน้อยจากเขาต่างแสดงความยินดีในงานมงคล เอ้อร์กัวรู้สึกหัวใจพองโต ไม่คิดว่าลุงต้าซานจะใจดีเช่นนี้ ถึงขั้นเชิญทุกคนมาร่วมงานแต่งของเขา เดิมทีเขาคิดว่าลุงต้าซานที่ถือเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาจะไม่พอใจที่เหมยฮวาเลือกคนยากจนเช่นเขา ที่แท้เป็นเขาเองที่ใจแคบ

ชายหนุ่มก้มลงคำนับขอบคุณทุกคนด้วยความรู้สึกผิด แม้จะรู้สึกกังวลที่ไม่อาจหาเงินทองมากมายมาจัดเลี้ยงอาหารรสเลิศให้ทุกคนที่มาร่วมแสดงความยินดี

ที่หน้าประตูบ้าน ลุงต้าซานยืนเด่นในชุดเต็มยศ ข้างกายคือ เหมยฮวา บุตรสาวของเขา นางยิ้มบางเบา ใบหน้าขาวผ่องราวกับหยก แววตาสุขุม แต่งดงามและน่าทะนุถนอมจนเอ้อร์กัวต้องกลั้นหายใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะคือ ชุดที่นางสวมอยู่…

นางเพียงสวมชุดผ้าไหมสีอ่อนตามปกติที่นางชอบสวมใส่ ตรงกันข้ามกับชุดแดงที่เขาคิดว่าจะได้เห็น เอ้อร์กัวขมวดคิ้วเล็กน้อย ความงุนงงผุดขึ้นมาในใจท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีรอบข้าง

เหตุใดเจ้าสาวของเขาถึงไม่ได้ใส่ชุดแดง

[1]หุบเขาวั่งเซียนกู่ หรือ หุบเขาเทวดา เป็นสถานที่งดงามและมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของเทวดา ถูกขนานนามว่าเป็นบ้านเกิดของเซียน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel