หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน 1.2
“ก็ลองมาดูสิ ถ้าเขาโมโหถึงขั้นทำอะไรพี่ขึ้นมาละก็ พี่จะแจ้งตำรวจซะเลย คราวนี้เขาได้ออกจากบริษัทจริง ๆ แน่”
เธอยกมือกอดอกพร้อมกับพูดอย่างจริงจัง หากฝ่ายนั้น
มีปัญหาและบุกมาเอาเรื่องจริง ๆ ก็คงต้องแจ้งความดำเนินคดี
กันแล้ว
“ผมกลัวพี่พิภพจะโกรธจนหน้ามืด จนลืมว่ามีคุกอยู่น่ะสิ ครั้งที่แล้วเขาก็ผลักพี่ชนกับโต๊ะไปรอบหนึ่งแล้วนะ เอาเป็นว่าผมไปย้ายของมาทำงานที่ห้องเดียวกันกับพี่ด้วยดีกว่า เผื่อว่าพี่พิภพมาหาเรื่องพี่ ผมจะได้ช่วยพี่ได้ทัน” เขาพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง พร้อมกับพยักหน้าให้ตัวเองอย่างมุ่งมั่น ประมาณว่าครั้งนี้เขาเอาจริงเหมือนกัน เพื่อปกป้องพี่สาวคนนี้
“ก็ได้ ๆ นายนี่ชอบเป็นห่วงพี่จนเกินเหตุจริง ๆ”
เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะหัวเราะออกมากับท่าทางนั้นของเขา หญิงสาวเข้าใจดีว่าน้องชายคนนี้ห่วงตนเองมากแค่ไหน
จึงไม่คิดจะห้ามเขาในเรื่องนี้
“ห่วงน้อยกว่านี้ได้ไงละครับ พี่เป็นพี่สาวคนเดียวของผมเลยนะ คนอื่นเขาก็ไม่ค่อยชอบพวกเราเลย เรามีกันแค่สองคนนะพี่ ถ้าผมไม่รักและไม่ห่วงพี่ แล้วจะให้ผมไปห่วงใครที่ไหนละครับ”
วรรพลพูดขึ้นอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีญาติพี่น้องมากมาย แต่คนพวกนั้นไม่ได้จริงใจเลย ทุกคนเข้ามาหาก็เพื่อหวังเพียงทรัพย์สินเท่านั้น ดังนั้นในสายตาเขาจึงยึดคนตรงหน้าเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เขาสามารถรักได้อย่างสนิทใจ
“ก็ช่างพวกเขาปะไรล่ะ พวกเราสองคนพี่น้องรักกัน
ก็พอแล้ว ไม่เห็นจะต้องสนใจพวกเขาเลย” ชญาณีตบไหล่น้องชายครั้งหนึ่ง คล้ายกับให้กำลังใจกันเอง
“ครับพี่ ถ้าอย่างนั้นผมไปขนของมาก่อนนะครับ”
วรพลพูดขึ้นอย่างสบายใจ จากนั้นก็เดินออกประตูไปทันที
หลังจากน้องชายเดินออกจากประตูไปแล้ว หญิงสาวจึงเดินไปที่ห้องทำงานของตนเอง เมื่อเดินผ่านโต๊ะของเลขา เธอจึงแวะบอกให้ทรายแก้วสั่งข้าวเที่ยงให้หน่อย จากนั้นค่อยเปิดประตูเข้าห้องทำงานไป
เมื่อเข้ามาในห้องหญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนล้า พร้อมกับปรับเก้าอี้ให้เอนลง เพราะต้องการพักตาสักครู่ และด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวัน ทำให้เธอหลับไปอย่างรวดเร็ว
เสียงหายใจที่แผ่วเบาดังลอดออกมาเล็กน้อย หน้าอกของหญิงสาวกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่วรพลจะเปิดประตูเข้ามา ในมือของเขาหอบเอกสารมาด้วยมากมาย หลังจากที่วางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กมุมห้องเรียบร้อยแล้ว จึงเดินมาหาพี่สาวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เพื่อปลุกให้เธอมากินข้าวเที่ยงด้วยกัน
“พี่แก้มหอม ไปกินข้าวกันเถอะ ทรายแก้วสั่งข้าวมาให้แล้ว” วรพลเรียกพี่สาวเบา ๆ
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากพี่สาวคนนี้ ชายหนุ่มคิดว่าพี่สาวคงจะหลับลึกไปหน่อย จึงเพิ่มเสียงในการเรียกอีกครั้ง
“พี่แก้มหอม ตื่นเถอะ กินข้าวก่อนแล้วค่อยมานอนต่อก็ได้”
วรพลมองอย่างสงสัย แม้จะเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น แต่พี่สาวกลับยังไม่ตอบรับเหมือนเดิม ทำให้เขารู้สึกว่าครั้งนี้พี่สาวคงเหนื่อยมากจริง ๆ แต่ยังไงก็ตาม เขาต้องปลุกเธอมากินข้าวก่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเขย่าตัวเธอ พร้อมกับเรียกไปด้วย
“พี่แก้มหอม ตื่นครับ ลุกมากินข้าวก่อน แล้วค่อยนอนต่อนะครับ เดี๋ยวข้าวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อยนะครับ”
แม้ชายหนุ่มจะทำอย่างนั้นแต่เธอก็ยังเงียบ และเมื่อจับดูตัวของหญิงสาวก็ทำให้เขาถึงกับผงะ เนื่องจากตอนนี้ตัวของชญาณีเย็นเฉียบแถมร่างกายเธอยังไม่ตอบสนองกับการที่เขาเขย่าตัวเธออีกต่างหาก
เวลานี้ชายหนุ่มแทบสิ้นสติ เขาเขย่าตัวเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตื่นสักที
“พี่แก้มหอม ๆ อย่าเป็นอะไรนะ” เขาทั้งเขย่าตัวและเรียกพี่สาวเสียงดัง ก่อนตะโกนสั่งทรายแก้วอย่างร้อนใจ
“ทรายแก้ว โทรเรียกรถพยาบาลที”
“พี่แก้มหอม พี่อย่าเป็นอะไรนะ ผมมีพี่คนเดียว พี่จะทิ้งผมไปแบบนี้ไม่ได้นะ พี่แก้มหอมตื่นสิครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา แม้จะรู้ว่าพี่สาวอาจจะกลับมาไม่ได้อีก แต่ก็ตั้งความหวังเผื่อว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เมื่อรถพยาบาลมาถึงก็สายไปแล้ว ชญาณีจากไปตลอดกาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แม้ว่าหน่วยกู้ชีพจะพยายามยื้อชีวิตของเธอไว้สักเท่าไรก็ไม่สามารถทำได้
วรพลจึงได้แต่ยืนร้องไห้ และทำใจว่าพี่สาวคนเดียวที่เขาเหลืออยู่นี้ได้จากเขาไปแล้วตลอดกาล
