บทที่ 6 สหายวัยเยาว์ขององค์หญิง
หลายวันต่อมา ในที่สุดความพยายามของซือหนิงก็เป็นผล วันนี้นางไปอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดประจำขององครักษ์หลี่และก็ได้พบกับเขาแล้ว
หลี่เจ๋อหานที่ยืนเฝ้ายามอยู่ คำนับให้นางอย่างนอบน้อมและก็ก้มหน้าหลบเลี่ยง ไม่ยอมสบตา เป็นกิริยาที่ข้ารับใช้จากแคว้นเย่ที่ติดตามมาไม่มีใครทำ ซือหนิงมองท่าทางนั้นแล้วก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงสนิทสนมอย่างจงใจ
"เจ๋อหาน" นามนี้โผล่ขึ้นมาในความทรงจำขององค์หญิงร่างเดิมนี้...
เมื่อได้ยินเสียงเรียกนามอันแสดงออกถึงความสนิทสนมนี้ เจ๋อหานก็ดูเหมือนชะงักเล็กน้อย ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงาหมวกเกราะสั่นไหวเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเช่นเดิม
"องค์หญิงมีรับสั่งอันใดพะยะค่ะ?"
ซือหนิงยิ้มบาง ๆ ส่ายหน้าไม่ตอบอะไร นางเดินผ่านหน้าเขาไปเหมือนจะจากไปแล้ว ทว่าเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ร่างของนางก็โซเซก่อนจะล้มลงไปด้านหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
"โอ๊ะ!"
นางร้องออกมาเสียงดังแสร้งทำเป็นสะดุดก้อนหิน ใบหน้างดงามบิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวด ดวงตาสีฟ้าใสเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นแต่ก็ฝืนกลั้นไว้อยู่
องครักษ์หลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ รีบเข้าประคองนางให้ลุกขึ้นทันที
"องค์หญิงทรงเป็นอันใดพะยะค่ะ? ทรงเจ็บมากหรือไม่?"
ขณะที่เขาช่วยพยุงขึ้นนั้น สายตาเฉียบคมของเขาก็เหลือบไปเห็นรอยแดงชัดเจนบนท่อนแขนของซือหนิง แขนเสื้อบางของนางร่นขึ้นเผยให้เห็นร่องรอยรุนแรงประทับอยู่บนผิวขาวละเอียดของนาง
แววตาของหลี่เจ๋อหานพลันเปลี่ยนไป ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เสียงของเขาจะดังขึ้นด้วยความหนักแน่น
"องค์หญิง… ผู้ใดเป็นคนทำ?"
ซือหนิงรีบดึงแขนเสื้อของตนลงอย่างลุกลี้ลุกลน สีหน้าดูร้อนรนราวกับไม่ต้องการให้เขารู้
"ไม่มีผู้ใดทำ ข้าซุ่มซ่ามเองต่างหาก เผลอเดินไปชนมุมโต๊ะน่ะ"
หลี่เจ๋อหานขมวดคิ้วแน่น เขาไม่เชื่อนางแม้เพียงน้อย
"องค์หญิง… หากผู้ใดกล้าลงมือกับพระองค์ หม่อมฉันย่อมต้องจัดการมันแทนพระองค์ ขอเพียงบอกมา!"
ซือหนิงเห็นท่าทางจริงจังของเขาก็รีบแสดงสีหน้าอัดอั้น ปล่อยให้น้ำตาหยดไหลอาบแก้ม สะอึกสะอื้นเสียงเบา
"เจ้าไม่สามารถทำอะไรซูกูกูได้หรอก ข้าทนได้…"
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของหลี่เจ๋อหานเปลี่ยนไปในทันที "เป็นนางอีกแล้วหรือ?" น้ำเสียงของเขาแฝงความกรุ่นโกรธและอดกลั้น
"เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดครั้งแรกเสียหน่อย ใช่ว่าข้าจะยอมซูกูกูไปเสียหมด เจ้าเพียงเอาใจช่วยข้าก็พอ เจ๋อหาน"
หลี่เจ๋อหานกำหมือแน่น สีหน้าของเขาอมทุกข์เสียยิ่งกว่าคนที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างซือหนิงเสียอีก
ท่าทีการตอบสนองเหล่านี้ทำให้ซือหนิงมั่นใจขึ้นอีกว่าซูกูกูไม่ได้เพิ่งกระทำกับตนเช่นนี้เมื่อมาถึงแคว้นฉี แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่ที่แคว้นเย่ เป็นไปได้ว่าเบื้องหลังซูกูกูคือใครบางคนจากแคว้นเย่ที่ส่งมาควบคุมนาง
อย่างไรองค์หญิงซือหนิงผู้นี้ก็ไร้มารดา ตลอดการเติบโตมานี้ล้วนอยู่ในการดูแลของฮองเฮาแคว้นเย่ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้บงการส่งเหล่าข้าราชบริพารมาควบคุมนางก็เป็นฮองเฮาแคว้นเย่ด้วย
ซือหนิงนั้นเดินนำองครักษ์หลี่ไปจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นางทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่ พลางทอดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด นางรู้ว่าหากต้องการรู้สิ่งที่เกี่ยวกับอดีตของร่างนี้ นางต้องสืบจากผู้ที่รู้จักองค์หญิงซือหนิงตัวจริงมากที่สุด และองครักษ์หลี่คือหนึ่งในนั้น
นางทอดถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายรำพึง
"ข้าเองก็จากแคว้นเย่มาได้ไม่นานนัก แต่เหมือนผ่านมาชั่วชีวิตแล้ว เจ๋อหาน… เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าก่อนข้าจะเดินทางมาแคว้นฉี ข้าเป็นเช่นไร?"
องครักษ์หลี่ดูแปลกใจที่นางเอ่ยถามเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนาง เขาก็พยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าว
"พระองค์ในอดีต... อ่อนโยนและเงียบขรึมพะยะค่ะ ทรงไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา และมักจะหลีกเลี่ยงการมีปากเสียงกับผู้อื่นเสมอ"
ซือหนิงรับฟังอย่างตั้งใจพร้อมคิดตาม "เพราะข้าหัวอ่อนเช่นนั้น ข้าจึงมักถูกผู้คนเอาเปรียบสินะ แม้กระทั่งข้ารับใช้ก็ไม่มีแม้แต่ความหวั่นเกรงข้าในฐานะองค์หญิงเลย... "
หลี่เจ๋อหานเม้มปากแน่นนิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนเอ่ยตอบ
"พระองค์มิใช่หัวอ่อนหรอกพะยะค่ะ เพียงแต่...ทรงเลือกไม่ได้ต่างหาก" เจ๋อหานพูดเสียงเบา แล้วก็เพิ่มระดับเสียงพร้อมความรู้สึกยกย่องที่มากขึ้นในประโยคหลัง "พระองค์เป็นแบบอย่างของความพยายามให้แก่กระหม่อมยิ่งนักพะยะค่ะ ไม่ว่าด้านศาสตร์หรือศิลป์ไม่มีใครเก่งกาจเกินพระองค์แน่!"
ซือหนิงฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกเวทนาองค์หญิงเจ้าของร่างยิ่งนัก นางแย้มยิ้มพยักหน้าขอบใจในกำลังใจที่บุรุษตรงหน้าส่งมาให้
"เจ้าไม่เสียใจหรือที่ถูกส่งมาให้คุ้มกันข้าที่ต่างแคว้นเช่นนี้?"
องครักษ์หลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ไม่พะยะค่ะ เพราะกระหม่อมเป็นคนขอมาเอง..."
ซือหนิงเลิกคิ้วเล็กน้อย "ขอมา? เหตุใดจึงทำเช่นนั้น?"
ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีติดตามมาอยู่แล้ว เพราะการต้องมารับใช้องค์หญิงที่ไร้คนยำเกรงทั้งในแคว้นตนเองและแต่งเชื่อมสัมพันธ์มาก็เป็นได้เพียงชายาที่ไม่รู้จะได้แต่งเมื่อใด ไม่รู้ว่าจะมีอนาคตไกลเพียงใด
เจ๋อหานยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบ "เพราะกระหม่อมรู้จักพระองค์ตั้งแต่วัยเยาว์ และไม่อาจปล่อยให้พระองค์เดินทางมาเพียงลำพังได้พะยะค่ะ"
ซือหนิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ นางเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างร่างนี้กับองครักษ์หลี่มากขึ้น หากพวกเขาเคยเป็นสหายวัยเยาว์จริง ความห่วงใยของเขาที่มีต่อนางก็สมเหตุสมผล...
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม องครักษ์หลี่ก็เดินมาส่งซือหนิงที่ตำหนักรับรองแล้ว ก่อนเข้าตำหนักไปนั้นซือหนิงก็ไม่ลืมที่จะกล่าวย้ำกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เจ๋อหาน อย่าได้ไปเอาเรื่องซูกูกูเลย นับจากนี้ข้าจะจัดการเองไม่ยอมซูกูกูอีกต่อไป ...หากเกินความสามารถแล้วข้าจะขอความช่วยเหลือเจ้าเอง"
เจ๋อหานจ้องหน้านางนิ่ง พยักหน้าเข้าใจ
"ไม่นานนัก... พระองค์ก็จะหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนี้แล้ว อย่างที่พระองค์เคยย้ำกับกระหม่อมเมื่อก่อนมาแคว้นฉีแห่งนี้"
คำพูดของเขาทำให้ซือหนิงชะงัก นางย้อนคิดถึงเรื่องราวทั้งหมด หากองค์หญิงซือหนิงร่างเดิมรู้สึกยินดีที่ได้ออกจากแคว้นเย่เช่นนี้ แสดงว่านางคาดหวังกับการอภิเษกครานี้มาก ว่าจะเปลี่ยนชีวิตของนางให้ดีกว่าเดิม
...แล้วเหตุใดองค์หญิงซือหนิงร่างเดิมถึงเขียนจดหมายเนื้อหาเช่นนั้นไว้กัน นางทำราวกับว่าชีวิตต่อจากนี้ของนางจะไม่อาจดีได้อีกต่อไปแล้ว
หรือว่าองค์หญิงร่างเดิมไปรู้ความลับบางอย่างกันนะ ความลับที่ทำให้ความหวังที่จะมีชีวิตใหม่มลายหายไป...
