ทะลุมิติมาเป็นองค์หญิงผู้เดียวดาย

155.0K · จบแล้ว
มายุมายูมายา
75
บท
44.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

‘นี่มันที่ไหน?’ ดวงตาของอดีตสายลับจากศตวรรษที่ 20 กวาดมองไปรอบๆ พบว่าตนเองอยู่ในห้องกว้างขวางประดับอย่างหรูหราแต่ออกจะดูโบราณไปนิด และไม่ทันได้คิดมากไปกว่านั้น คลื่นความทรงจำปะทะเข้ามาในหัวอย่างรุนแรง ทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้ นางกำลังปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ก่อนถูกศัตรูจับได้และจบชีวิตลง… ทว่าบัดนี้นางกลับมาอยู่ในร่างของหญิงสาวในยุคโบราณ! ที่สำคัญ เป็นถึงองค์หญิงที่ถูกส่งไปอภิเษกสมรสต่างแคว้น ยิ่งไปกว่านั้น! นางอยู่ในร่างองค์หญิงที่ไร้่ความทรงจำของเจ้าของร่าง ข้ารับใช้จากแคว้นเดียวกันทำตัวราวเป็นเจ้านายเสียเอง ไหนจะจดหมายตัดพ้อของเจ้าของร่างเดิมที่มาพร้อมการตายอย่างปริศนา หรือเเม้กระทั่งผู้คนที่แม้ไม่เคยพบหน้าก็สามารถรู้ตัวตนของนางเพียงเเค่ได้สบตา… ก็เพราะเจ้านัยน์ตาสีฟ้าแสนโดดเด่นนั่นล่ะ! หนีไปพร้อมเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเช่นนี้ สายลับก็สายลับเถอะ คงถูกจับได้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าออกจากวังแล้วกระมัง!

นิยายจีนโบราณท่านอ๋ององค์หญิงนางเอกเก่งจีนโบราณพระเอกเก่งพระชายาจากมิตรภาพสู่ความรักการแต่งงานพึ่งพาตัวเอง

บทนำ

คืนดึกสงัด แสงจันทร์ถูกกลืนหายไปในเมฆดำ ความเงียบปกคลุมทั่วตำหนักแห่งนี้ ตำหนักงดงามโอ่อ่ากลับดูมืดมนราวกับตำหนักร้างเมื่อเข้าสู่ยามกลางคืน

ภายในห้องบรรทม องค์หญิงสามแห่งแคว้นเย่นั่งอยู่เพียงลำพัง ร่างบางใต้ชุดสีขาวบริสุทธิ์นั่งนิ่งอยู่บนตั่งไม้ รอบกายมีเพียงเงามืดเป็นสหายรัก ใบหน้างดงามราวหยกบัดนี้ไร้สีเลือด ดวงตาคู่งามจับจ้องความว่างเปล่าราวกับจิตวิญญาณถูกดูดกลืนไปแล้ว

ความเงียบรอบข้างสะท้อนความทุกข์ในใจของนางอย่างเด่นชัด

เพียงคิดถึงความจริงที่เพิ่งล่วงรู้ หัวใจที่เคยอ่อนโยนก็ถูกบีบคั้นจนเจ็บราวกับมีมือเย็นเยียบกำเอาไว้

องค์หญิงจากแคว้นเย่ของตน มาเพื่ออภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉี ความจริงที่ตนถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วยเมืองของตนนี้ยังไม่เจ็บปวดเท่าความจริงที่เพิ่งล่วงรู้เลย...

ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ร่างบางปลิวลมค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งด้วยท่าทีเชื่องช้าไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณ ไม่มีแววลังเลในดวงตา แม้กายจะอ่อนล้าแต่จิตใจกลับเต็มไปด้วยความตั้งมั่น วันนี้นางมีสิ่งที่ต้องทำ

เวลาล่วงเลยสู่ยามโฉ่ว (01.00 – 02.59 น.) องค์หญิงสามเย่ย่องออกจากห้องบรรทมของตำหนักรับรองในแคว้นฉี

...ไร้ซึ่งนางกำนัลเฝ้าเช่นเคย นางเดินเลียบกำแพงมืด หลบสายตาองครักษ์ที่เฝ้าด้านหน้าตำหนัก ก่อนจะลอบเร้นไปยังจุดนัดหมาย

ใต้ร่มเงาต้นเหมยเก่าแก่ ขันทีสองคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางก้าวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงเย็นเยียบเมื่อเอ่ยถามอย่างไม่รีรอ

“ได้เรื่องหรือไม่?”

“เรียบร้อยพะยะค่ะ”

ขันทีคนหนึ่งก้มหน้ารายงาน นางมิได้พูดอะไรอีก เพียงพยักหน้าแล้วหมุนตัวจากไปเงียบๆ

จุดหมายของนางคือโรงเก็บฟืน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงครัวเล็กของวังหลวง เมื่อมาถึง นางเปิดประตูไม้เก่าเอี๊ยดอ๊าดเข้าไป ภายในนั้นมีเพียงตะเกียงหนึ่งดวงให้แสงสลัว และร่างของบุรุษผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาหายใจหนักหน่วง ใบหน้าขาวซีดจากพิษยากำหนัดที่สองขันทีบังคับให้กิน

เงาตะคุ่มของร่างบุรุษดูไร้เรี่ยวแรง ร่างกายกำยำที่ดูสง่างามแม้ท่ามกลางความมืดนี้ทำให้องค์หญิงสามมองเขาค้างไปชั่วขณะ ก่อนดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกของนางนั้นกลับมาฉายวาบอีกครั้ง

...นางมิสนใจว่าเขาเป็นใคร มิสนใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สิ่งเดียวที่นางต้องการคือทำตามแผนให้สำเร็จ นางคุกเข่าลง ปลดชุดสีดำของบุรุษผู้นี้โดยไร้ซึ่งความลังเล

ท่ามกลางความมืดนี้

เสียงลมหายใจแผ่วเบา...

เสียงลมกระทบกระเบื้องหลังคา...

และเสียงผ้าที่ถูกถอดออกทีละชิ้นดังแผ่วเบา

...ล้วนบ่งบอกถึงเรื่องที่กำลังเกิดที่มิอาจหวนคืน

ไม่มีเสียงครวญคราง ไม่มีความเร่าร้อนของรสสวาทที่สุขสม มีเพียงความเย็นชาของหญิงหนึ่งและร่างอันอ่อนแรงของบุรุษผู้หนึ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว

เมื่อทุกอย่างจบลงตามแผน นางลุกขึ้น สวมชุดคืนสู่ร่างอย่างสงบ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของแผนการ

ก่อนเดินจากไปนั้น องค์หญิงสามเย่ที่บรรลุเป้าหมายก็ไม่คิดใช้คนโดยไม่ตอบแทน นางหยิบห่อยาล้ำค่าของตนขึ้นมาพร้อมกรอกผงเหล่านั้นใส่ปากของบุรุษที่มีชะตากรรมน่าเวทนาอย่างไม่นึกเสียดาย

ผงยาสารพัดประโยชน์นี้สามารถแก้พิษทุกชนิดได้ หากเป็นพิษร้ายแรงก็จะบรรเทาลงอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเย่เท่านั้นจะมีในครอบครอง และมีเพียงหนึ่งห่อด้วย!

นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้แล้ว หากมอบให้ผู้อื่นก็คงมีประโยชน์มากกว่า...

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงอาบแก้มขณะลุกและเดินออกมาจากโรงเก็บฟืน ดวงตาขององค์หญิงผู้เดียวดายยังคงแน่วแน่ นางมิได้สะอื้น ไม่ได้หันกลับไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นแม้แต่น้อย

ในห้องอับแสง บุรุษที่นอนนิ่งบนพื้นขยับเปลือกตาเล็กน้อย ความมึนงงผสมกับโทสะเดือดดาล ดวงตาคมเปิดปรือขึ้นทีละน้อย แม้ร่างกายยังไร้เรี่ยวแรง แต่ริมฝีปากกลับพยายามขยับเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก

“บังอาจนัก…!”