บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ความอยากรู้สร้างเรื่อง

หลังจากจบสงครามฝีปากของสตรีแล้ว ซือหนิงก็สั่งให้เมื่อซินเยว่เก็บสำรับอาหารออกไป ซูกูกูก็เดินเข้ามาหาซือหนิงทันที ทว่ากลับยังเว้นระยะห่างเล็กน้อยราวกับหวาดระแวงบางอย่าง นางกล่าวเสียงแฝงความสะใจเล็กน้อย

"องค์หญิงเพคะ หากพระองค์ดำริจะอยู่ในวังหลวงและอภิเษกกับองค์รัชทายาทอย่างราบรื่นแล้วล่ะก็ ควรเอาใจคุณหนูใหญ่หวงผู้นี้เอาไว้ดีกว่านะเพคะ นางเป็นคุณหนูที่มีโอกาสขึ้นเป็นพระชายาเอกขององค์รัชทายาทมากที่สุดแล้วในขณะนี้... มีโอกาสมากกว่าพระองค์ด้วยซ้ำ"

ซือหนิงฟังแล้วก็เข้าใจทันที ...ที่แท้ก็ว่าที่เมียหลวงหาเรื่องว่าที่เมียน้อยนั่นเอง...

แม้คำแนะนำกึ่งเหน็บแนมของซูกูกูจะทำให้นางเข้าใจความจริงแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่นางต้องทำตาม เพราะนางไม่ได้คิดจะขึ้นเป็นชายาขององค์รัชทายาทเสียหน่อย

อีกอย่างในลิสต์ผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะต้องการปลิดชีพองค์หญิงสามฉีนั้น ก็มีองค์รัชทายาทผู้นี้อยู่ในลิสต์ผู้ต้องสงสัยสำหรับนางด้วยซ้ำ

ซือหนิงไม่คิดตอบนางหมุนตัวเพื่อกลับไปยังห้องนอนของตน

"ข้าจะเข้าไปนอนพักช่วงสายสักหน่อย ไม่ต้องเฝ้าหรอกมีอะไรก็ไปทำเถอะ"

ซูกูกูจ้องนางอย่างสงสัยชั่วครู่ นางคงคิดว่าซือหนิงมีแผนบางอย่างแน่ แต่ก็ไม่กล้าขัดเพราะกลัวฝ่ามือที่เพิ่งถูกตบไปเมื่อเช้า หน้ายังแสบชาไม่หาย ซูกูกูจึงยืนอยู่หน้าประตูห้องขัดกับคำสั่งของซือหนิงสิ้นเชิง

แน่นอนว่าการกระทำนี้ของซูกูกูเจ้าของห้องที่อยู่ข้างในนั้นคาดเดาได้ก่อนแล้ว เพราะที่จริงแล้วซือหนิงต้องการให้ซูกูกูเฝ้าอยู่ที่ประตูนั่นแหละเพื่อที่ให้นางแอบออกไปทางหน้าต่างของห้องนอน และเดินอ้อมไปเพื่อออกจากตำหนักรับรองไปอย่างสบายแทน

วันนี้ซือหนิงมีเป้าหมายสำคัญ นางจะหาโอกาสดีเพื่อคุยกับองครักษ์หลี่ หลี่เจ๋อหาน เพื่อสร้างพันธมิตรและทำให้นางรู้ความเป็นไปตอนองค์หญิงผู้นี้อยู่แคว้นเย่

ซือหนิงเดินไปยังจุดที่เคยพบองครักษ์หลี่เฝ้ายาม ทว่าไม่พบใคร นางจึงเดินวนเวียนแถวนั้นเรื่อย ๆ โดยไม่ให้เป็นที่สังเกต บริเวณนี้เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังหน้า ตำหนักรับรองของแขกต่างเมืองยังคงอยู่ภายในเขตพระราชวังส่วนหน้า เพราะฉะนั้นหากเดินออกไปไกลกว่านี้ อาจเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางที่เข้ามาปฏิบัติราชการได้

ด้วยความสงสัยที่มักมีอยู่ในมนุษย์ไม่ว่าคนใด ซือหนิงเดินไปเรื่อย ๆ จุดประสงค์เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว...

ซือหนิงเดินไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เพื่อแอบมองไปข้างหน้า ซึ่งน่าจะเป็นหอจดหมายเหตุอันเป็นสถานที่ทำงานของขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนัก นางเห็นขุนนางในชุดทางการคล้ายกัน มีทั้งสีกรมท่า และสีแดงเข้มเลือดนกเดินไปมาให้ขวักไขว่ นางกำนัลและขันทีต่างรีบเร่งทำหน้าที่ของตน ซือหนิงมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจโดยลืมเป้าหมายแรกไปเสียแล้ว...

ขณะที่กำลังแอบดูหลังต้นไม้ใหญ่อย่างเพลิดเพลินนั้น นางไม่รู้เลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งพร้อมด้วยองครักษ์อีกหนึ่งนาย เดินเข้ามาใกล้ขึ้นจากด้านหลัง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังซือหนิงที่กำลังหลบอยู่หลังต้นไม้อย่างน่าสงสัย

"เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงแอบซุ่มดูอยู่ที่นี่?"

เสียงของบุรุษหนึ่งในนั้นดังขึ้นกะทันหัน เป็นเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจไม่ต่างจากบรรยากาศรอบตัวของเขาเลย

ซือหนิงสะดุ้งสุดตัว รีบหันกลับไปทันที นางเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวเมื่อสบสายตากับบุรุษที่เอ่ยถาม

บุรุษผู้นี้มีโครงหน้าคมเข้ม ดวงตาสีดำลุ่มลึกแฝงแววคมกริบ คิ้วเรียวยาวรับกับจมูกโด่งได้รูป ลักษณะดูองอาจเต็มไปด้วยอำนาจ เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเข้มตัดขอบด้วยดิ้นทองบ่งบอกถึงฐานะสูงส่ง

ก่อนที่ซือหนิงจะได้ตอบอะไร หญิงสาวที่ยืนเคียงข้างบุรุษผู้นั้นก็เอื้อมมือจับแขนเขาไว้ราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังดูแฝงความหมายมากมาย

"อ้อ...ที่แท้ก็องค์หญิงจากแคว้นเย่นี่เอง คารวะองค์หญิงซือหนิงเพคะ"

ซือหนิงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางยังไม่ได้แนะนำตัว แต่สตรีตรงหน้ากลับรู้จักตน เพียงครู่เดียวก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายจำตนได้จากดวงตาสีฟ้าของนางนั่นเอง

นี่ปะไรหากจะหลบหนีหรือซ่อนตัวนางต้องจัดการกับสีตาที่โดดเด่นของตนเองก่อน!

สตรีใบหน้างดงามยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย "พระองค์มีรูปโฉมงดงามสมคำร่ำลือจริง ๆ ดวงตาสีฟ้านั่นทำให้หม่อมฉันแทบละสายตาไม่ได้เลย... ว่าไหมเพคะะ ฉีหนานหวัง?"

ซือหนิงได้ยินชื่อของบุรุษตรงหน้าแล้วก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉี บุรุษเจ้าของสมญานามนี้ในความทรงจำเจ้าของร่างระบุไว้ว่าเขาคือน้องชายหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ที่มีชีวิตอยู่ เป็นเชื้อพระวงศ์ที่มากด้วยอำนาจในแคว้นฉีตอนนี้

ซือหนิงรีบโค้งคำนับให้ตามมารยาท "คารวะฉีหนานหวังเพคะ หม่อมฉันองค์หญิงเย่ซือหนิงเพคะ"

ขณะที่นางก้มคำนับ นางกลับรู้สึกถึงสายตาจ้องมองที่ร้อนแรงผิดปกติที่หลังคอของตน มันแฝงไว้ด้วยอารมณ์บางอย่าง คล้ายความขุ่นเคือง ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น นางพบว่าฉีหนานหวังยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ส่วนสตรีที่ยืนข้างกันนั้นก็ยิ้มตามมารยาทให้ตน

...บางทีนางอาจคิดมากไปเองนั่นล่ะ

"หม่อมฉันชายารองของฉีหนานหวัง ซูลี่ เพคะ" หญิงสาวข้างกายฉีหนานหวังแนะนำตัวก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "แล้วองค์หญิง

ซือหนิงมาด้อม ๆ มอง ๆ อะไรอยู่ที่นี่หรือเพคะ? คงไม่ใช่ว่าเป็นสายลับสืบข้อมูลแคว้นเราหรอกนะเพคะ?"

ซือหนิงหยักยิ้มราบเรียบก่อนเอ่ยปฏิเสธอย่างสุขุม

"หามิได้ ข้าเพียงแต่หลงทางและกำลังมองหาผู้ที่พอจะช่วยนำทางกลับตำหนักรับรองได้เท่านั้น" นางกล่าวจบก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ คล้ายร่างกายกำลังเตือนให้รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว จึงรีบกล่าวต่อ "ดูเหมือนแถวนี้ต่างก็ยุ่งกันหมด คงต้องไปหาผู้นำทางแถวนู้นแทนแล้ว"

ทว่าเมื่อซือหนิงกำลังจะถอยหลังเพื่อแยกไป ก็เป็นฉีหนานหวังที่เงียบมานานกล่าวขึ้นอย่างไม่คาดคิด

"ข้ากำลังว่างพอดี เพิ่งเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสร็จ เดี๋ยวข้าจะพาไปส่งเองแล้วกัน"

ทั้งหญิงสาวข้างกายเขาและองครักษ์ต่างมองกันอย่างตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าฉีหนานหวังจะเสนอตัวเช่นนี้ แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านก็ต้องปล่อยไปเท่านั้น แม้กระทั่งซือหนิงเองด้วย

"เช่นนั้นต้องรบกวนฉีหนานหวังแล้วเพคะ"

ซือหนิงรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย นางมิได้อยากพัวพันกับเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉีมากเกินไปนัก ทว่าหากปฏิเสธตอนนี้ คงเป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่านางโกหกเรื่องที่มาหาคนนำทาง ดังนั้นจึงได้แต่ค้อมศีรษะตอบอย่างสุภาพและเดินตามพวกเขาไป...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel