บทที่ 3 ฝีปากใครดีผู้นั้นชนะ!
เช้าวันต่อมา วันนี้สิ้นสุดบทลงโทษของซูกูกูแล้ว อากาศยามเช้าในตำหนักรับรองสดชื่นเป็นพิเศษ นางกำนัลจากวังหลวงนามซินเยว่ก็เข้ามานำอ่างน้ำมาให้ซือหนิงล้างหน้าเช่นเคย
จากมุมหางตา ซือหนิงสังเกตเห็นซูกูกูยืนอยู่ห่างออกไป สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแตกต่างจากตอนที่ไม่มีคนของแคว้นฉีอยู่ด้วย ตอนนี้ดูเรียบนิ่ง มีความนอบน้อมตามมารยาท ทว่าในแววตากลับซ่อนความขุ่นเคืองเอาไว้อย่างแนบเนียน
เมื่อซินเยว่ทำเสร็จตามหน้าที่แล้วก็เตรียมจะเดินออกไป
ซือหนิงลอบยิ้ม ก่อนจะเรียกซินเยว่ไว้ "มื้อเช้าวันนี้มีอะไรทานบ้าง?"
ซินเยว่ชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะประหลาดใจเพราะปกติแล้วองค์หญิงมิเคยได้ถามเช่นนี้ นางก้มหน้าตอบตามหน้าที่ทันที
"มีข้าวต้มธัญพืชเพคะ องค์หญิงมีพระประสงค์อยากให้เปลี่ยนหรือเพิ่มเติมอะไรหรือไม่เพคะ?"
จากหางตา ซือหนิงจับได้ว่าซูกูกูที่ยืนอยู่นั้นคงกำลังอดกลั้นไม่พอใจที่ตนข้ามหน้าข้ามตาไปสั่งการโดยตรง แต่นางทำเป็นไม่สนใจ ยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"ข้าอยากได้อาหารที่มีเนื้อสัตว์เยอะหน่อย และให้นำไปตั้งไว้ที่ศาลากลางสระน้ำ ข้าอยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ อยู่แต่ในห้องนอนนี่มาหลายวัน เบื่อจะแย่"
ซินเยว่รับคำสั่ง นางกำนัลผู้นี้เป็นคนของแคว้นฉี ย่อมไม่กล้าขัดองค์หญิงต่างแคว้นมากนัก จึงรีบโค้งคำนับและเดินออกไปทำตามคำสั่ง
ทันทีที่ซินเยว่พ้นจากห้องไป ซูกูกูก็รีบก้าวเข้ามา ใบหน้าที่เคยสำรวมแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
"องค์หญิง! ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่!"
ซือหนิงเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา แต่ไม่ตอบ ซูกูกูขบกรามแน่น ก่อนจะก้าวเข้ามาหมายจะหยิกเนื้อใต้ร่มผ้าขององค์หญิงอย่างแรง คล้ายจะเป็นการสั่งสอนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
แต่ก่อนที่มือนั้นจะถึงตัว ซือหนิงเบี่ยงกายหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นจากตั่งนอนในจังหวะเดียวกัน พร้อมกับง้างมือฟาดไปที่ใบหน้าของซูกูกูเต็มแรงจนเสียงฝ่ามือกระทบผิวดังสะท้าน
เพียะ!
ซูกูกูเซถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะล้มลงกับพื้น ตาเบิกกว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าสตรีที่เคยเชื่อฟังกล้าทำเช่นนี้
ซือหนิงยืนตรง มองลงไปยังอีกฝ่าย สีหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
"ที่นี่มันตำหนักที่ข้าเป็นเจ้านาย ข้าจะทำอันใดไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ใด!" ซือหนิงเอ่ยเสียงเย็นชา ดวงตาทอประกายคมกริบจ้องมองอีกฝ่าย
ซูกูกูโกรธจนมือสั่น รีบลุกขึ้นยืน กัดฟันแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงคุมอารมณ์อย่างยากลำบาก
"องค์หญิงช่างอกตัญญูต่อแผ่นดินที่เลี้ยงดูท่านมาอย่างดีเสียจริง อย่าคิดว่าเพียงเพราะจะอภิเษกออกไปแล้วจะทำอะไรก็ได้! ครั้งนี้หม่อมฉันจะผ่อนปรนให้ก่อน แต่หากมีครั้งหน้า พระองค์ไม่เชื่อทรงเชื่อฟังเช่นนี้อีกจะต้องเสียใจเป็นแน่!"
กล่าวจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อแรง ๆ แล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที
ซือหนิงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย ดวงตาทอแววลึกล้ำเต็มไปด้วยแผนการ มุมปากหยักยกสมใจ...
ขณะที่ซือหนิงกำลังกินมื้อเช้าที่ศาลากลางสระน้ำอย่างสงบนั้นเอง นางก็สังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาจากทางเข้าด้านหน้าตำหนักรับรอง มุ่งตรงมายังศาลาอย่างไม่ลังเล
ซือหนิงเหลือบมองเล็กน้อย พบว่าผู้มาเยือนคือสตรีอ่อนเยาว์ในอาภรณ์หรูหรา สีหน้าท่าทางเปี่ยมไปด้วยความทะนงตัว นางกำนัลซินเยว่ที่ยืนรับใช้ข้างกายนางรีบเอ่ยทักอย่างรู้จักกันดีทันใด
"คารวะคุณหนูใหญ่หวงเจ้าค่ะ"
ซือหนิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ...คุณหนูจากสกุลหวง? นางมาหาตนทำไมกัน
หวงเจียถิงตรงหน้าเดินเข้ามาและหยุดยืนทางเข้าศาลาก่อนไล่มองสำรวจซือหนิงตั้งแต่หัวจรดเท้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"เช้านี้องค์หญิงเสวยของหนักเช่นนี้ ขนบธรรมเนียมจากแคว้นเย่น่าชื่นชมเสียจริงนะเพคะ"
แม้จะฟังดูเหมือนประโยคสนทนาธรรมดา แต่ความหมายแท้จริงนั้นคือการเสียดสี ว่าซือหนิงไร้กิริยาของสตรีสูงศักดิ์ มิเห็นคุณค่าของความงดงาม กินอาหารหนักตั้งแต่เช้าอย่างไม่สนรูปร่างตนทำราวกับสตรีชาวบ้านไปได้
คำกล่าวนี้ทำให้ซือหนิงที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสตรีนางนี้เข้าใจได้ทันที ว่าคุณหนูหวงนางนี้คงเป็นคู่อริของร่างเดิมเป็นแน่ แม้ไม่รู้ว่าอริจากเหตุผลใดก็เถอะ
...เมื่อตั้งใจมาหาเรื่องกัน นางก็ไม่คิดจะปรานีเช่นกัน
ซือหนิงทำราวไม่ได้ยินเสียงคุณหนูหวง นางกันไปกล่าวกับนางกำนัลของตนแทน "เก็บสำรับเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์กินแล้ว อยู่ดีๆ แมลงหวี่ก็มาตอมเสียได้ อาหารรสชาติดีเสียหมดเลย เฮ้อ..."
คุณหนูหวงหน้าเปลี่ยนสีทันที กระทืบเท้าก่อนจะชี้นิ้วใส่ซือหนิงทันใด "เจ้า! เจ้าก็แค่องค์หญิงแคว้นใกล้ล่ม ยังกล้ามาปากดีเช่นนี้อีก!"
ซือหนิงลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินอ้อมโต๊ะอาหารไปเผชิญหน้ากับหวงเจียถิงโดยตรง สายตาที่ส่งไปนั้นแน่วแน่และเยือกเย็น ทำให้อีกฝ่ายเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
"เจ้า...เจ้าจะทำอะไร!? ข้าเป็นคุณหนูของขุนนางสำคัญแห่งแคว้นฉีนะ! หากเจ้าทำอะไรข้า ข้าจะ...จะ..." คุณหนูหวงเริ่มเสียงสั่น
ซือหนิงหยุดเดิน หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงเรียบ "คุณหนูจากตระกูลขุนนางใหญ่มีบรรดาศักดิ์เทียบเท่าองค์หญิงหรือ? หากมิใช่ เช่นนั้นก็ควรเข้าใจเสียใหม่ว่าใครมีศักดิ์สูงกว่ากัน กิริยาเช่นนี้เป็นขนบธรรมเนียมที่คนแคว้นฉีปฏิบัติกันกระมัง"
คุณหนูหวงอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
"เฮอะ! องค์หญิงทรงอยากลำพองนักก็เชิญเถอะ องค์หญิงที่มาจากต่างแคว้นเช่นพระองค์ จะสู้บิดาของหม่อมฉันได้อย่างไร? บิดาของหม่อมฉันมีประโยชน์ต่อแคว้นฉีมากกว่าองค์หญิงต่างแคว้นที่ไม่ต่างจากยุงที่มาดูดเลือด!"
คำพูดของหวงเจียถิงนั้นนอกจากจะไม่ทำให้ซือหนิงกลัวได้แล้วนั้นยังทำให้ซือหนิงแทบสำรอกสิ่งที่ทานเข้าไปเพราะหัวเราะอย่างนัก
"น่าขันยิ่งนัก พูดอะไรไม่ออก เอะอ่ะก็อ้างบิดา เจ้าเองมีสิ่งใดดีบ้างหรือไม่? หากไม่มี ก็รีบกลับไปเสีย ข้าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเด็กน้อยเช่นเจ้า"
คุณหนูหวงหน้าแดงก่ำจนเกือบเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นางพยายามหาถ้อยคำมาโต้แย้ง แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ชี้นิ้วไปมาอย่างขัดใจ ย่ำเท้าคิดไปสักครู่ก็นึกบางอย่างออกขึ้นมาได้
"หม่อมฉันอุตส่าห์แวะมาหาพระองค์เพื่อชวนไปพบกับองค์รัชทายาทที่หม่อมฉันนัดไว้ว่าจะดื่มชาด้วยกันช่วงสายนี้ แต่หากพระองค์ทำเช่นนี้ก็คงไม่สะดวกชวนแล้ว! เหอะ"
กล่าวจบ หวงเจียถิงก็สะบัดชายแขนเสื้อ แล้วเดินจากไปทันที
ซูกูกูที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับอึ้งมาตลอดที่ได้เห็นการโต้ตอบนี้ สีหน้าประหลาดใจที่ได้เห็นองค์หญิงสามตอบโต้ได้อย่างเด็ดขาดเช่นนี้ไม่คิดว่าจะเป็นองค์หญิงหัวอ่อนผู้นั้นเลยจริง ๆ
...ซูกูกูยังคงตกใจไม่หายแม้แต่หลังจากคุณหนูหวงจากไปแล้วก็ตาม
