บท
ตั้งค่า

บทที่ 14 ทูตสองแคว้น

องค์หญิงซือหนิงยังมีชีวิตอยู่!

ลู่คงเบิกตากว้างไปชั่วขณะ แต่ก็รีบควบคุมสีหน้าตนเองทันที

"องค์หญิง..." เขากล่าวเสียงเรียบ "เหตุใดพระองค์---"

ซือหนิงยิ้มบางๆ ทักทายคนจากแคว้นเย่ที่นางเพิ่งเห็นหน้าเป็นคราแรก ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นกลับไป

"ทำไมใต้เท้าลู่ถึงดูผิดหวังเล็กน้อยกันที่ข้ายังมีชีวิตอยู่?"

คณะทูตแคว้นเย่เริ่มแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าพวกเขายังพยายามรักษามาดอย่างมืออาชีพ

"องค์หญิงยังทรงมีพระชนม์อยู่!" เสียงกระซิบดังขึ้นจากหมู่ขุนนางแคว้นฉีที่ก็เพิ่งรู้ความจิงเช่นกัน

ฉีหยางเฉินที่ยืนอยู่ตรงกลางเพียงยิ้มมุมปากอย่างสมใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบผิดกับเนื้อหาที่พูดอย่างจงใจ

"โอ เมื่อครู่ข้าคงบอกไม่ชัดเจนต้องขออภัยด้วยที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ข้าหมายถึงว่าองค์หญิงแคว้นเย่ของพวกเจ้ายังสบายดีอยู่ต่างหาก..."

ลู่คงแม้จะตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็รีบตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขากลับมาเรียบเฉย รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนมุมปากอย่างตอบรับขับสู้

“กระหม่อมรู้สึกโล่งใจพ่ะย่ะค่ะ เพราะที่ผ่านมามีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับพระองค์ หากพวกเราทราบว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ พวกเราก็จะสามารถรายงานกลับไปยังฝ่าบาทแห่งแคว้นเย่ให้ทรงคลายความกังวลได้แล้ว”

ซือหนิงหัวเราะเบาๆ พยักหน้าเข้าใจ "อา เช่นนั้นหรือ อ้อ ข้ามีของกำนัลตอบแทนให้พวกท่านที่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยด้วยล่ะ"

นางตบมือเบาๆ และขันทีผู้หนึ่งก็นำหีบไม้ออกมาส่งให้ลู่คง "ขอให้ตรวจดูเถิดว่าพอใจหรือไม่"

ยังไม่ต้องให้พวกเขาโอ้เอ้ชักช้า ขันทีที่นำไปส่งช่วยเปิดหีบให้พวกเขาได้เห็นทันใด ภายในหีบบรรจุหนังสือรวมคำสารภาพของข้าราชบริพารแคว้นเย่และหลักฐานที่นางและฉีหยางเฉินรวบรวมมาตลอดอันบ่งบอกว่าแคว้นเย่วางแผนลอบสังหารองค์หญิงซือหนิงเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองกับแคว้นฉี

ใบหน้าของลู่คงเคร่งเครียดขึ้นในทันใด ที่แท้คนแคว้นฉีก็รู้ถึงแผนการของพวกเขาแล้ว อีกทั้งยังวางแผนตลบหลังพวกเขาอีก สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือหมากในแผนการนี้อย่างองค์หญิงซือหนิงกลับเป็นผู้ร่วมเปิดโปงด้วย

"กระหม่อมไม่ทราบว่าองค์หญิงกำลังหมายความว่าอย่างไร?" ลู่คงหันไปสบตากับซือหนิงด้วยแววตาคมกล้าแฝงความระแวงก่อนจะหันไปเอ่ยกับอ๋องเต้แห่งแคว้น

"หลักฐานที่องค์หญิงนำมาแสดงนั้น... มิอาจยืนยันได้ว่าเป็นของจริงพะยะค่ะ ไม่ทราบว่าองค์หญิงซือหนิงร่วมมือกับองค์รัชทายาทเพื่อใส่ร้ายคนของแคว้นเย่ด้วยเหตุอันใดอันแน่!"

เสียงกระซิบดังขึ้นทันทีในหมู่ขุนนาง ขุนนางฝ่ายแคว้นฉีเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อคำพูดหน้าตายของทูตแคว้นเย่แล้ว

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?" ฉีหยางเฉินกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงความเย็นชา

"หลักฐานเหล่านี้มีเพียงคำกล่าวอ้างจากองค์รัชทายาทแคว้นฉีเท่านั้น" ลู่คงกล่าว "นางกำนัลที่ยอมให้ปากคำก็เป็นเพียงข้ารับใช้ผู้น้อย ผู้ใดจะรู้ว่าอาจถูกข่มขู่ให้กล่าวเช่นนั้น หรืออาจเป็นคนของแคว้นฉีที่จัดฉากขึ้นมาเอง?"

บรรยากาศในตำหนักตรึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

"อ้อ ใต้เท้าลู่คิดว่าข้าสมคบคิดเพื่อสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมาจัดการแคว้นตนเอง?" ซือหนิงกล่าวขึ้น ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์

"แล้วใช่หรือไม่เล่าพะยะค่ะ?" ลู่คงกล่าว น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งแต่แฝงความท้าทายชัดเจน

ซือหนิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขาเล็กน้อย "เช่นนั้น... ท่านกำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาทของแคว้นฉีและองค์รัชทายาทใช้วิธีสกปรกเพื่อบอกปัดข้อเสนอของท่านที่ร้องขอทันทีที่รู้ว่าองค์หญิงเช่นฆ่าตายที่แคว้นนี้อย่างนั้นหรือ?"

ลู่คงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

"ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น"

"แต่คำพูดของท่านเป็นเช่นนั้นนะ" ฉีหยางเฉินกล่าวเสียงเรียบ แต่แววตาของเขาเริ่มเย็นชา

พวกเขาก็ไม่ได้เตรียมแผนให้พวกคณะทูตเผยแผนการด้วยตนเองเพียงเท่านี้หรอก ก่อนหน้านี้ก็ได้สืบและรวบรวมหลักฐานอื่นแล้วเช่นกัน

ขณะที่บรรยากาศเริ่มตรึงเครียด เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นจากประตูตำหนักอย่างพอดีกับเวลาที่เหมาะสมพอดี

"ผู้ใดกันกล่าวว่าแคว้นฉีสร้างหลักฐานปลอม?"

ฉีหนานหวัง ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเหตุการณ์นี้

"เรื่องนี้นะ---"

"เหตุใดจึงเดินทางมาเร็วเพียงนี้? ข่าวเรื่องอาการประชวรเกิดขึ้นไม่นานคณะทูตแคว้นเย่ก็พร้อมก้าวข้ามเขตแดนเสียแล้ว "

ฉีหนานหวังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกดดัน "คล้ายกับว่ารู้ล่วงหน้าว่าองค์หญิงจะต้อง ‘สิ้นพระชนม์’ จึงรีบเดินทางมาเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ที่พวกท่านได้วางแผนไว้ อย่างไรอย่างนั้น"

บรรยากาศในตำหนักเงียบกริบ

ลู่คงยังคงพยายามกลับมารักษาสีหน้าเยือกเย็น

“พวกท่านกล่าวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ คณะทูตของพวกเรามีหน้าที่ในการดูแลองค์หญิงอยู่แล้ว เมื่อมีข่าวลือเรื่องพระองค์ล้มป่วยหนัก พวกเราจึงเร่งเดินทางมาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเรื่องผิดปกติก็มิใช่เรื่องผิดปกติ"

"เช่นนั้นหรือ?" ฉีหยางเฉินกล่าวเสียงเย็น "แล้วกองกำลังทหารที่แคว้นเย่ส่งมาประจำอยู่ชายแดนระหว่างแคว้นเล่า? เหตุใดจึงมิใช่เหมือนกำลังคุ้มกันคณะทูตทั่วไป แต่กลับมีการเตรียมกองกำลังมากครบครันทั้งอาวุธ และการจัดรูปขบวน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนทหารที่มาเพื่อส่งคณะทูตแน่"

ลู่คงนิ่งไปในเสี้ยวอึดใจอย่างไรเขาก็มิอาจยอมได้ง่ายเช่นนี้แน่

“ทหารของแคว้นเย่เพียงมาตรวจตราความปลอดภัยที่ขอบชายแดน มิได้มีเจตนาอื่นใดพ่ะย่ะค่ะ”

"เช่นนั้นหรือ!?"

เสียงของฉีหนานหวังดังขึ้นครานี้ ทำให้ลู่คงเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่อย่างยากจะต้านทาน หวังแห่งแคว้นฉีผู้นี้คืออดีตแม่ทัพไร้พ่ายจึงไม่แปลกที่รอบกายจะเต็มไปด้วยรังสีสังหาร

"พวกท่านกล่าวหากระหม่อมแรงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ทรงเชื่อองค์หญิงซือหนิงที่เปลี่ยนข้างอย่างรวดเร็วเลย กระหม่อมคิดว่าเราสองแคว้นอาจถูกใครบางคนพยายามทำให้แตกแยก เพื่อการใหญ่บางอย่าง..."

"ข้านั้นแม้เป็นองค์หญิงแคว้นเย่ทว่าเพราะเห็นเรื่องที่ไม่สำควรเกิดจึงมิอาจยืนดูเฉย ๆ โดยมิทำอะไรได้ แต่หากพวกท่านยังไม่ยอมรับ...เช่นนั้นก็รอจนขบวนทัพกลุ่มนั้นแสดงหลักฐานก็แล้วกันว่าใครกันแน่ที่พูดเรื่องจริง"

ลู่คงตาเลิกโพลงทันใด "องค์หญิงหมายความว่าอย่างไร?!"

“หึ...ก่อนหน้านี้ข้าได้ใช้นกสื่อสารที่ข้าราชบริพารแคว้นเย่ใช้ติดต่อสื่อสารอย่างลับ ๆ ส่งข่าวไปยังปลายทางแล้วว่า ให้ดำเนินตามแผนถัดไป ใต้เท้าลู่ก็คงรู้กระมังว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ลู่คงถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างยอมแพ้แล้วทันที

...หากทหารแคว้นเย่ที่เฝ้าชายแดนได้รับสารเช่นนั้นก็คงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ นั่นคือการเคลื่อนพลเพื่อกดดันแคว้นฉีให้ยินยอมทำตามเงื่อนไขอย่างไม่มีข้อแม้ พวกเขารู้ว่าการกดดันเพียงคราเดียวไม่อาจให้แคว้นฉียอมเสียประโยชน์ได้

...ทว่าแผนการนี้กลับกลายเป็นเชือกที่รัดคอพวกเขาเสียเอง

ลู่คงหันไปสบตากับองค์หญิงแคว้นตนเองที่ไม่เคยให้ความสำคัญหรือแม้แต่สนใจมาก่อนด้วยสายตามิคาดเดาอย่างใส่ใจเป็นคราแรก

"แคว้นเย่คงต้องการให้ทั่วทั้งแผ่นดินทุกแคว้นรอบบริเวณนี้เป็นผู้ตัดสินกระมัง?"

คำกล่าวของฮ่องเต้แคว้นฉีถือว่าเป็นคำขู่ที่ปิดท้ายได้ดียิ่งนัก หากเรื่องที่แคว้นเย่ใช้แผนสกปรกเพื่อทำสัญญาเอาเปรียบแคว้นฉีถูกปล่อยออกไปนั่นก็ทำให้ในภายภาคหน้ายากที่จะมีใครกล้าเข้ามาเป็นพันธมิตรกับแคว้นที่มีประวัติเช่นนี้

ลู่คงกำมือแน่น ดวงตาของเขาฉายแววขุ่นเคือง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับความจริงอย่างศิโรราบ

"...กระหม่อมจะส่งเรื่องนี้กลับไปยังฝ่าบาทของแคว้นเย่เพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้งพะยะค่ะ ได้โปรดร่างความต้องการของพระองค์มาด้วย..."

ชัยชนะในการทำสัญญาที่แสนยืดเยื้อครานี้ตกเป็นของแคว้นฉีในที่สุด และซือหนิงที่เป็นหมากตัวสำคัญของกระดานนี้ก็ได้เปลี่ยนสถานะจากองค์หญิงที่ต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กลายเป็นทูตแห่งสองแคว้นมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องแต่งงานแทน เพื่อให้พันธมิตรของสองแคว้นยังคงเป็นไปตามที่ตกลงทางแคว้นฉีจึงมีเงื่อนไขว่า พวกเขาจะยอมให้ผลผลิตทางการเกษตรแก่แคว้นเย่เพื่อนำไปจัดการกับปากท้องของประชาชน ทว่าก็ต้องแลกกับการที่แคว้นเย่ต้องส่งม้าพันธุ์ดี อาวุธที่ผลิตได้ครึ่งหนึ่งของแคว้นมาทุกคราที่ผลิตได้เช่นกัน

ส่วนรางวัลที่ซือหนิงได้รับเป็นข้อแลกเปลี่ยนในครานี้ก็คือ นางจะได้รับสถานะใหม่เป็นทูตสองแคว้นและได้สิทธิเป็นพลเมืองแคว้นฉี อาศัยอยู่ที่นี่ เป็นทูตแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่โดยนัยน์นางก็คือตัวประกันในสนธิสัญญานี้นั่นเอง

เอาเถอะ นี่เป็นเพียงเริ่มต้นของชีวิตซือหนิงในชาตินี้ก็เท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วใครจะอยากเหยียบบนเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดเมื่อไหร่ก็ได้ไปตลอดกันเล่า!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel