บทที่ 13 กำพืดคนแคว้นเย่
เป็นฉีหนานหวังผู้นี้อีกแล้ว!
"องค์หญิงจะลอบทำร้ายข้าหรือ?"
เสียงทุ้มเย็นชาดังขึ้นจากอีกฝ่าย หน้าตายของเขามันช่างกวนโทสะคนที่ต้องเสียแรงกายอย่างเปล่าประโยชน์เพราะคิดว่าเขาคือผู้ร้ายเสียจริง
ซือหนิงหรี่ตาลงมองบุรุษตรงหน้าอย่างพิจารณา จากนั้นจึงถอนหายใจเบา ๆ ที่อย่างน้อยก็เป็นเขา จากคำกล่าวของซุนมามาเมื่อเช้าที่บอกว่าตอนนี้ความรับผิดชอบในการดูแลและปกปิดเรื่องของนางเป็นหน้าที่ฉีหนานหวังแล้ว ก็ไม่แปลกที่เขาจะตามนางมาด้วย ทว่าตามจริงเขาให้คนอื่นใต้บัญชาตามนางมาก็ได้ไม่ใช่หรือไร
"เป็นท่านหวังมากว่าที่คิดจะทำร้ายหม่อมฉัน"
บุรุษตรงหน้ายืนนิ่งอยู่ในเงามืด แต่ก็สามารถเห็นใบหน้าภายใต้ชุดคลุมสีเข้มดูไร้อารมณ์เช่นเคย
"องค์หญิงบัดนี้จะให้ผู้ใดเห็นตัวไม่ได้ หากเมื่อครู่ไม่ใช่ข้าแต่เป็นผู้อื่นท่านจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร?" เขากล่าวเสียงเรียบ
แต่เนื้อความนั้นล้วนจิ้มเข้ากลางใจของคนฟัง ซึ่งซือหนิงก็รู้ว่านางไม่ควรออกมาในยามนี้ ทว่านางก็มิอาจปล่อยโอกาสที่จะได้ออกมานอกวังเพื่อทำธุระแสนสำคัญเช่นกัน
ซือหนิงกลอกตาเบา ๆ ในที่สุดนางก็ก้มหัวคารวะอย่างยอมรับผิด
"หม่อมฉันคิดน้อยไปเองเพคะ ต้องลำบากฉีหนานหวังแล้ว"
"นั่นเป็นหน้าที่ของข้า ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้าดูแลท่าน..."
"หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เป็นหน้าที่ของพระองค์..."
ฉีหนานหวังไม่ตอบ เขาเพียงแค่จ้องนางนิ่งรอคอยนางให้ทำอะไรบางอย่าง ความอดทนของซือหนิงมิอาจสู้บุรุษหน้าตายผู้นี้ได้จริง ๆ
ซือหนิงแค่นหัวเราะโบกมืออย่างไม่หยี่หระ "ไม่ต้องห่วงเพคะ หม่อมฉันกำลังกลับแล้ว"
ซือหนิงเอาผ้าม่านติดหมวกลงก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตรอกเล็ก และเดาว่าอีกฝ่ายจะต้องตามนางอยู่ดี
และแน่นอน...เบื้องหลังของนางบัดนี้มีบุรุษสูงใหญ่ตามต้อย ๆ ดูเป็นจุดสนใจกว่าเดิมเสียเสียอีก
แสงอาทิตย์คล้อยต่ำลงส่องปะทะกำแพงสูงของวังหลวง
ซือหนิงก้าวเท้าอย่างระมัดระวังเพื่อตรงไปยังจุดลับที่นางเคยใช้เป็นทางออกจากวัง ทว่าก็จำต้องรีบชะงักฝีเท้าทันใดเมื่อนึกเรื่องสำคัญได้
นางกลับเข้าไปทางโพรงกระต่ายนั่นไม่ได้สิ ขืนฉีหนานหวังเห็นทางลับนี้เข้า เขาคงไม่ปล่อยผ่านให้มีแน่
ซือหนิงนิ่งคิดชั่วครู่ก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับบุรุษร่างสูงที่เดินตามหลังนางมาตลอดทาง
"ท่านหวังเพคะ..." นางเอ่ยเสียงหวาน พลางฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
ฉีหนานหวังยืนนิ่ง มองนางด้วยแววตาเรียบเฉย "มีอะไร?"
ซือหนิงกระแอมเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบ "ท่านหวังก็น่าจะทรงทราบว่าหม่อมฉันแอบออกจากวังมาเอง แล้วตอนนี้ก็สายเกินเวลานัดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันกลับทางเดิมไม่ได้แล้ว"
ฉีหนานหวังจ้องหน้านางนิ่ง
"ดังนั้น... หม่อมฉันคงต้องรบกวนพระองค์เสียหน่อย"
ซือหนิงกล่าวจบ ก็ลอบยิ้มในใจ
ฉีหนานหวังผู้นี้มีอำนาจและอิทธิพลในวังมากนัก เขาจะพานางกลับเข้าวังโดยไม่มีปัญหาย่อมง่ายนิดเดียว...
"ตามข้ามา..."
ฉีหนานหวังตอบสั้นๆ ก่อนจะก้าวเดินนำหน้านางไป
ทว่าเส้นทางที่เขานำไปกลับไม่ใช่เส้นทางหลักของวังหลวง หากแต่เป็นเส้นทางเปลี่ยวที่มีต้นไม้ปกคลุมสูง ข้างหน้าคือกำแพงวังที่ดูรกร้าง ไม่มีทหารยามเฝ้ายามข้างนอกกำแพงวังแทน
เหตุใดซือหนิงถึงมีความรู้สึกว่าวิธีเข้าวังของเขาจะไม่ใช่อย่างที่นางคาดหวังไว้กันนะ...
"เดี๋ยว---อ๊ะ!"
ยังไม่ทันที่นางจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ ร่างสูงของฉีหนานหวังก้าวเข้ามาประชิดตัวนางอย่างรวดเร็ว มือแกร่งคว้าเอวของนางแล้วรัดแน่น ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะหมุนเคว้งพร้อมกับท้าวของนางที่ไม่แตะพื้นอีกแล้ว
ในชั่วพริบตา ฉีหนานหวังก็กระโดดลอยตัวข้ามกำแพงวังสูงตระหง่านพร้อมโอบร่างของซือหนิงติดมาด้วย!
สายลมกระโชกแรงพัดผ่านแก้ม ซือหนิงตาเบิกกว้าง รีบคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่นโดยสัญชาตญาณ บัดนี้นางเหมือนเพิ่งโดดสกายไดรฟ์ลงจากเครื่องบินอย่างไรอย่างนั้น
...วิชาตัวเบาของยุคโบราณมันดีเช่นนี้นี่เอง ซือหนิงรู้สึกอิจฉาคนที่เป็นวิชายิ่งนัก!
เพียงชั่วจิบชาเดียว พวกเขาก็ลงถึงพื้นอีกฝั่งของกำแพงวังอย่างนุ่มนวล
ทว่าสิ่งแรกที่ซือหนิงเห็นหลังจากยืนอย่างมั่นคงได้ ไม่ใช่พื้นที่รกร้างในวัง… แต่เป็นสายตาของเหล่าทหารเฝ้ายามหลายคนมองมา
คนเหล่านั้นต่างเบิกตากว้าง มองฉีหนานหวังที่ยังโอบร่างของสตรีไว้ใกล้ชิดแนบแน่นกับลำตัวของเขา เพราะสิ่งนี้ลูกน้องเช่นพวกเขาหาได้เคยเห็นไม่!
ซือหนิงจะดึงผ้าลงมาปิดหน้าก็คงไม่ทันแล้ว
นางรีบผละตัวออกจากฉีหนานหวังทันที พลางกระแอมแล้วจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่ รวมถึงดึงม่านขาวที่ติดกับหมวกปีกกว้างลงมาบังหน้าด้วย
ดูจากการที่ฉีหนานหวังไม่เดือดร้อนอันใดแปลว่าทหารพวกนี้คือคนใต้บังคับบัญชา
"ขอบพระคุณท่านหวังเพคะ! หม่อมฉันสามารถกลับเองได้แล้ว! รับรองว่าจะไม่ให้คนเห็นแน่นอน"
ฉีหนานหวังมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ "อาฉี เจ้าไปส่งองค์หญิงให้ดี"
คำสั่งนี้แม้ไม่ได้เอ่ยกับนางแต่นั่นแปลว่าเขาไม่ไว้ใจนางอีกเช่นเคย ช่างเป็นบุรุษรอบครอบอะไรเช่นนี้ เฮ้อ...
ก่อนที่จะแยกย้ายกันนั้นฉีหนานหวังก็ปรายตามองทหารของตนแวบหนึ่ง เหล่าทหารรีบหลุบตาลงและทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้นทันใดอย่างรู้คำสั่ง
เช้ารุ่งขึ้นที่สำคัญมาถึงแล้ว ดวงอาทิตย์ฉายแสงสีทองทาบทับลงบนยอดหลังคาพระราชวังแคว้นฉี ภายในตำหนักวันนี้อากาศยามเช้าดูอึมครึมแม้พระอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าก็ตาม
ขุนนางของแคว้นฉีทั้งหลายยืนเรียงกันตามลำดับตำแหน่ง สายตาต่างจับจ้องไปที่ คณะทูตแคว้นเย่ซึ่งเข้ามาถวายบังคมต่อหน้าฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงอย่างแสดงความนอบน้อม
พวกเขาเดินเข้าสู่ห้องโถงด้วยท่าทีสุขุม ภายใต้ชุดทางการของแคว้นเย่คือบุรุษที่มีใบหน้าคมเข้ม เคร่งขรึมและสายตาแหลมคม หัวหน้าคณะทูตแคว้นเย่ ลู่คง
เมื่อเสร็จสิ้นการถวายบังคม หัวหน้าคณะทูตก็ก้าวออกมา
"ฝ่าบาท พวกกระหม่อมเดินทางมาไกลเพื่อเข้าเฝ้าและส่งสาส์นจากฝ่าบาทแคว้นเย่ นอกจากเรื่องความคืบหน้าเรื่องพันธมิตรแล้ว พวกกระหม่อมยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องกราบทูล..."
ฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงทอดพระเนตรพวกเขานิ่งๆ ก่อนจะตรัส "ว่ามาเถิด"
ลู่คงโค้งศีรษะ "พวกกระหม่อมต้องการเข้าเฝ้าองค์หญิงซือหนิงด้วยพะยะค่ะ"
ทันทีที่กล่าวจบ บรรยากาศในตำหนักเงียบกริบทันใด อันเนื่องมาจากข่าวลือที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอาการประชวรของซือหนิง
เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้น ฉีหยางเฉินก้าวออกมายืนต่อหน้าพระราชบัลลังก์ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ
"เรื่องนี้นั้น...ข้าก็มีเรื่องสำคัญที่จะบอกคณะทูตจากแคว้นเย่ด้วยเช่นกัน" ฉีหยางเฉินถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ "หลายวันก่อนองค์หญิงซือหนิงอาการทรุดหนักมาตลอด แม้หมอหลวงแคว้นเย่ของเราจะดูแลอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่...น่าเสียดาย"
คำว่า น่าเสียดาย นี้ถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือชวนให้คนคิดจินตนาการไปไกล
ลู่คงหรี่ตาลง คิ้วขมวดแน่นก่อนเอ่ยเสียงแข็งขึ้น "หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?"
"หมายความว่า..." ฉีหยางเฉินทอดเสียง "องค์หญิงซือหนิง..."
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่หนักแน่น
"...ได้ไปสบายแล้ว"
"...!!!"
คำกล่าวนี้ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วตำหนักว่าราชการทันที
เหล่าขุนนางต่างหันไปซุบซิบกันด้วยความตกใจ สายตาหลายคู่หันไปมองคณะทูตแคว้นเย่อย่างลอบประเมินความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้น
หากสังเกตให้ดีคนที่ดูจะตกใจน้อยที่สุดกลับเป็น หัวหน้าคณะทูตแคว้นเย่ ลู่คง...
เขาเพียงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโค้งศีรษะช้าๆ สีหน้ากลับดูสงบเกินกว่าที่ควร ทว่าหากจะบอกว่าเขาเป็นขุนนางที่เก็บอารมณ์ได้เก่งก็คงไม่อาจโต้แย้งได้เช่นกัน
"เรื่องนี้กระหม่อมในฐานะผู้แทนฮ่องเต้แคว้นเย่ คงต้องนำไปกราบทูลฝ่าบาทของกระหม่อมอย่างเร่งด่วน ทว่ากระหม่อมนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะทูลอย่างไรดี..." หัวหน้าคณะทูตกล่าวเสียงเรียบ "องค์หญิงซือหนิงผู้เป็นที่รักของชาวประชาแคว้นเย่ทรงเป็นผู้มีความสามารถ... นางจากไปก่อนเวลาเช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก..."
ลู่คงเผยรอยยิ้มเศร้าเล็ก ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
"แต่ในเมื่อองค์หญิงจากไปด้วยดีแล้ว เนื่องด้วยแคว้นเย่ของเราติดต่อกับแคว้นฉีมานับว่าเกือบปีแม้องค์หญิงซือหนิงจะจากไปก่อนได้เชื่อมสัมพันธ์แต่หากฝ่าบาทยอมรับเงื่อนไขที่กระหม่อมเอ่ยขอกระหม่อมรับรองว่าสามารถช่วยพระองค์จัดการกับความกริ้วของฮ่องเต้แคว้นกระหม่อมได้ หวังว่าฮ่องเต้ฉีจะได้โปรดพิจารณาคำขอของกะหม่อมด้วย..."
สิ้นคำกล่าว ขุนนางแคว้นฉีต่างมองหน้ากันอย่างเข้าใจในความหมายที่สื่อมา พวกเขากำลังถูกแคว้นเย่ขู่บังคับกันซึ่ง ๆ หน้านั่นเอง!
ฮ่องเต้แคว้นฉียังเงียบขรึมแต่นัยน์ตาวาววับขึ้นเล็กน้อย "ว่ามา"
"....ฮ่องเต้แคว้นกระหม่อมทรงให้ความสำคัญกับองค์หญิงซือหนิงไม่น้อยทว่าทรงมีคุณธรรมของฮ่องเต้เห็นแก่ประชาชนและแว่นแคว้นมากกว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น กระหม่อมจึงขอให้แคว้นฉีสนับสนุนทรัพยากรแก่แคว้นเย่ มากกว่าเดิมที่ขอมาสองเท่าพ่ะย่ะค่ะ"
"นี่ไม่ใช่ว่าพวกท่านรังแกกันเกินไปแล้วหรือ!?" ขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นเสียงดัง ก่อนจะแสดงตัวแย้งกับผู้มีอำนาจตัดสินบนบัลลังก์ทันที
"ฝ่าบาทโปรดพิจารณาเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนด้วยพะยะค่ะ"
ลู่คงเพียงเพียงยิ้มเบาบาง ก่อนจะกล่าวต่อ
"การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงซือหนิงนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้าแต่ก็เกิดขึ้นแล้ว... แต่ขณะเดียวกันนี่ก็นับเป็นโอกาสอันดีที่แคว้นฉีจะได้แสดงความจริงใจต่อแคว้นเย่ด้วยมิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว---"
"โอกาสอันดี?" ฉีหยางเฉินเอ่ยขึ้นช้าๆ เขาหยักยกมุมปากก่อนก้าวออกมาอีกคราเพื่อเผชิญหน้ากับทูตแคว้นเย่
"พ่ะย่ะค่ะ" ลู่คงกล่าวต่ออย่างคนเหนือกว่า "มิเช่นนั้นแล้วกระหม่อมคงต้องเอาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไปกราบทูลฮ่องเต้แคว้นเย่ และป่าวประกาศถึงความอยุติธรรมของแควนฉีตามสมควร..."
"หึ ที่แท้นี่ก็คือกำพืดของแคว้นเย่เองหรือ!?"
ฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงเอ่ยขึ้นครานี้เต็มไปด้วยความกริ้วที่ต่างจากเดิมสิ้นเชิง ไหนจะท่าทีราวพวกตนเหนือกว่าอีกเล่า นั่นทำให้คนที่มั่นใจในแผนการของตนก่อนหน้าเริ่มรู้สึกหวั่นใจอย่างไม่รู้ตัว
"แคว้นเย่ดูวางแผนมาดียิ่งนักว่าการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงซือหนิงจะเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน"
เสียงขององค์รัชทายาทกล่าวจบในเวลาเดียวกันนั้นประตูด้านข้างถูกเปิดออก
...ซือหนิงก้าวเข้ามาท้องพระโรง กลายเป็นจุดรวมสายตาของคนทุกคนไปในทันใด
องค์หญิงซือหนิงยังมีชีวิตอยู่!
