บทที่ 12 ตามหาดอกไป๋อวิ๋นเถิง
"กระหม่อมขอรับหน้าที่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเสียงขององค์รัชทายาทฉีหยางเฉินดังขึ้นก็ทำลายความเงียบของตำหนัก พร้อมกันนั้นก็ดึงดูดทุกสายตาหันไปยังผู้พูดทันใด
องค์รัชทายาทก้าวออกมาคำนับต่อหน้าฮ่องเต้ สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ทว่าในแววตามีความหนักแน่นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความมั่นใจนี้สามารถสยบข่าวลือเรื่องที่องค์หญิงซือหนิงประชวรหนักได้เป็นอย่างดี
เพราะองค์รัชทายาทคือผู้ที่ดูแลจัดการตำหนักรับรองอย่างที่เป็นอยู่ หากเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มั่นใจรับหน้าที่เพียงนี้
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น ขุนนางหลายคนแสดงความแปลกใจขึ้นมา สถานการณ์ตอนนี้ล้วนสร้างความสับสนจนไม่อาจคาดเดาความจริงได้แล้ว
ฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงพยักหน้า ก่อนที่ไป๋กงกงจะออกมาประกาศราชโองการต่อด้วยน้ำเสียงก้องกังวานราชสำนัก
“มอบหมายให้องค์รัชทายาทเป็นผู้นำเรื่องการต้อนรับคณะทูตจากแคว้นเย่ และแต่งตั้งฉีหนานหวังเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยของตำหนักรับรององค์หญิงซือหนิงจนกว่าพระนางจะฟื้นจากอาการประชวร...”
ฉีหนานหวังเหลือบตาขึ้นมอง แต่ไม่ได้กล่าวคัดค้าน เพียงประสานมือรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
ในที่สุดการประชุมว่าราชการในวันนี้ก็สิ้นสุดลง…
เสียงจอแจของผู้คนดังขึ้นทั่วตลาดบนถนนสายหลักยามสาย ร้านค้าตั้งเรียงรายกันเป็นแถวยาว กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยมาตามสายลม สลับกับกลิ่นสมุนไพรจากร้านขายยาหลายแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
ท่ามกลางฝูงชนนั้นมีสตรีสวมชุดนางกำนัลแต่ไม่ธรรมดานางหนึ่ง เนื่องด้วยบนหัวมีหมวกปีกกว้างพร้อมผ้าบางๆ คลุมหน้าลงมานั่นเอง สิ่งนี้ใช้เพื่อปิดบังใบหน้าและดวงตาสีฟ้าโดดเด่นของเจ้าของ
เมื่อซือหนิงมองสภาพแวดล้อมสดชื่นรอบกายแล้วก็รู้สึกเสียดายที่นางต้องรีบไปรีบกลับยิ่งนัก
ก่อนก้าวเท้าออกมาจากวังหลวงได้เสียงของขันทีผู้หนึ่งที่ช่วยพานางออกจากวังด้วยโพรงกระต่ายลับนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวไม่คลาย
"องค์หญิงโปรดรีบกลับมาก่อนองครักษ์จะเปลี่ยนยามนะพะยะค่ะ!"
สีหน้าสุดแสนเป็นกังวลนั้นทำให้ซือหนิงไม่สามารถหยุดแวะชมสิ่งเร้าข้างทางได้ นางจำเป็นต้องรีบมุ่งมาที่เป้าหมายของการออกจากวังครานี้ก่อนเลย ซือหนิงเดินมาเรื่อย ๆและหยุดยืนหน้าร้านขายยาเก่าแก่ร้านหนึ่ง
ภายในร้านขายยา กลิ่นของสมุนไพรอบอวล เถ้าแก่เจ้าของร้านเป็นชายชราหนวดยาว ใส่อาภรณ์แบบชาวบ้านธรรมดา เขากำลังวัดตวงสมุนไพรบางชนิดอยู่หลังโต๊ะไม้คิดเงิน
เมื่อซือหนิงเดินเข้าไปหาชายชราผู้นั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองพยายามสบตาลูกค้าผู้มาใหม่ผ่านม่านผ้าผืนบาง เมื่อไม่อาจสบตาได้ก็ละความพยายามในที่สุด
“แม่นาง ต้องการซื้อยารักษาอาการใด?”
ซือหนิงขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น ก่อนจะพูดเสียงไม่ดังนัก “ไม่ได้มาซื้อยา แต่ข้ามาตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่ง…”
เถ้าแก่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ หยักยิ้มยินดี “ว่ามาเถอะ ร้านยาข้านี้เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงแล้ว ไม่ว่าจะสมุนไพรชนิดใจก็หาให้แม่นางได้หมด”
ซือหนิงหยักยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยถามอย่างคนเริ่มมีความหวัง เพราะสมุนไพรชนิดนี้นางอ่านเจอในตำราสมุนไพร หากนำดอกมาคั้นน้ำแล้วหยดใส่ตาจะสามารถเปลี่ยนสีตาได้ชั่วคราว ผู้คนในคณะละครในอดีตนำมาใช้เปลี่ยนสีตาเพื่อสร้างสีสันในละครของตน แต่สมัยนี้ไม่ค่อยใช้กันเพราะเห็นว่าหายากขึ้นมาก
“เป็นดอกไป๋อวิ๋นเถิง”
เถ้าแก่ร้านยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแผ่ว ๆต่างจากเมื่อครู่ที่แสนจะมั่นใจสิ้นเชิง
“เจ้าอยากได้ดอกไป๋อวิ๋นเถิง? สมุนไพรชนิดนี้หายากนัก ไม่ว่าร้านข้าหรือร้านไหน ๆ ก็ไม่มีหรอก”
ซือหนิงขมวดคิ้วพยักหน้าเข้าใจ นางคาดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้หาง่ายๆ ซึ่งที่นางต้องมาด้วยตนเองก็เพราะสาเหตุนี้ด้วย
“เถ้าแก่ผู้เก่งกาจรู้หรือไม่ว่าดอกไม้ชนิดนี้สามารถพบได้ที่ใด?”
เถ้าแก่ถอนหายใจยาวก่อนเอ่ยตอบ “ไป๋อวิ๋นเถิงเป็นสมุนไพรที่ขึ้นบนเขาสูง ชอบความสงบ เห็นเขาว่ากันว่าขึ้นบนยอดเขา”
ซือหนิงพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจแต่ก็มิใช่ว่านางจำเป็นต้องทำตามคำเตือนของเถ้าแก่เสียหน่อย
“ข้าเพียงแค่ถามเผื่อไว้เฉย ๆ นะ เถ้าแก่เคยได้ยินหรือไม่ว่ามีคนพบมันที่เขาลูกไหน?”
เถ้าแก่ถอนหายใจยาว ก่อนจะตอบเสียงต่ำต่ออย่างผู้อาวุโสสอนลูกหลาน
“ย่อมต้องเป็นเขาชิงหลานอยู่แล้ว เขาลูกนั้นทั้งสูงชันและเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้าย แถมเส้นทางก็อันตราย คนทั่วไปไม่มีทางไปถึงได้ง่ายๆ หากต้องการนำมาต้มทำยาจริงมีสมุนไพรชนิดอื่นอีกมากที่ใช้แทนได้ แม่นางอย่าได้เอาชีวิตไปเสี่ยงเลย”
ซือหนิงรับฟังเงียบๆ เมื่อนางได้รับข้อมูลที่ต้องการแล้ว ซือหนิงก็กล่าวขอบคุณเถ้าแก่ก่อนจะก้าวออกจากร้านมา นางไม่อาจเสียเวลาอยู่ข้างนอกวังนานเกินไปนัก เรื่องไปเก็บดอกไป๋อวิ๋นเถิงนั้นต้องเป็นเวลาอื่นที่เหมาะสมกว่านี้
ขณะที่กำลังครุ่นคิดระหว่างเดินกลับวังหลวงอยู่นั้นนางก็รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาที่นางจากด้านหลัง
ต้องมีใครกำลังเดินตามนางมาอยู่แน่ ๆ
ซือหนิงชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย ท่าทางของนางดูไม่ต่างจากเดิมทว่าในใจนางเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
ซือหนิงเร่งฝีเท้า ลัดเลาะไปตามทางแคบในตรอกหลังตลาดเพื่อเลี่ยงผู้คน ซือหนิงค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า จากนั้นจึงวกเข้าซอยเล็กๆ ที่เงียบสงัด เงาของอาคารทอดยาวทำให้ตรอกนี้ดูมืดครึ้ม
ซือหนิงผ่อนลมหายใจลงและอาศัยจังหวะพุ่งเข้าไปในเงามืดดึงตัวเองแนบกำแพง
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังใกล้เข้ามา และในเสี้ยวอึดใจที่เงาร่างของผู้ติดตามผ่านตรงมุม ซือหนิงก็พุ่งเข้าโจมตีทันที!
นางใช้ฝ่ามือฟาดไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่าย แต่คนตรงหน้ากลับพลิกตัวหลบอย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังใช้แขนรับแรงกระแทกแล้วดีดตัวกลับตั้งหลักได้
ดวงตาของซือหนิงวาววับขึ้น อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่นางจะรับมือได้ง่าย!
ยามเมื่อซืหนิงออกหมัดเตะอย่างว่องไวและแม่นยำ ทว่าอีกฝ่ายเน้นการปัดป้องมากกว่าตอบโต้ เหมือนกำลังจับตาดูท่วงท่าของนางมากกว่าต้องการทำร้ายนาง เมื่อหันหน้าปะทะจนได้เห็นหน้าผู้ที่แอบตามนางมาก็เข้าใจแล้วทันที
