บทที่ 11 เยี่ยมเยียนตำหนักรับรอง
ค่ายทหารนอกเมืองหลวงแห่งหนึ่ง บรรยากาศแวดล้อมเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและเป็นระเบียบ เสียงฝึกซ้อมดังก้องทั่วบริเวณ แสงไฟจากคบเพลิงและกองไฟภายในส่องวูบไหวไปทั่วค่ายเมื่อเข้าสู่ยามพลบค่ำแล้ว
ภายในกระโจมบัญชาการ ฉีหนานหวังนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่ ดวงตาของเขากวาดมองแผนที่และเอกสารข่าวกรองต่างๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ไม่นานเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้น ก่อนที่เงาของทหารคนหนึ่งจะก้าวเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะบัญชาการ
“กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีหนานหวังไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงแต่ขยับมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้พูดต่อ
"มีข่าวจากวังหลวง ว่ากันว่าองค์หญิงแคว้นเย่ประชวรหนักพ่ะย่ะค่ะ"
มือที่กำลังพลิกดูแผนที่ของฉีหนานหวังชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาวาววับขึ้น ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองทหารที่กำลังคุกเข่าอยู่
"ประชวรหนัก?" น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยแต่เย็นเยียบ
“พ่ะย่ะค่ะ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง คนของเราที่วังหลวงรายงานว่าตำหนักรับรองขององค์หญิงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่มีผู้ใดเข้าออกได้นอกจากคนบางกลุ่มขององค์รัชทายาทพะยะค่ะ”
ฉีหนานหวังเงียบไป
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทด้วย? นั่นทำให้เขานึกไปถึงเมื่อคืนหลายวันก่อนที่เขาเห็นสองคนลักลอบพบการที่ศาลาร้างท้ายสุดของวังหลวง
ที่น่าแปลกคือคืนวันนั้นที่เขาพบกับองค์หญิงซือหนิง นางยังมีแรงเถียงและสนทนากับเขาอยู่เลยแท้ๆ
...น่าสงสัยว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรกันอยู่?
ฉีหนานหวังขยับตัวลุกขึ้นหลังจากตัดสินใจได้แล้ว ดวงตาเย็นชาวาววับก่อนจะกล่าวเสียงเรียบสั่งการนายทหารตรงหน้า
"เตรียมม้า ข้าจะเข้าเมืองไปเยี่ยมองค์หญิงแคว้นเย่เสียหน่อย"
ทหารรับคำอย่างรวดเร็วทันใด “พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉีหนานหวังคว้าเสื้อคลุมมาสวมพลางก้าวออกจากกระโจม ในขณะที่สั่งงานต่อ
"แล้วไปแจ้งที่จวนหวัง บอกกับชายารองให้ดูแลจวนคราวนี้ ไม่ต้องตามข้าเข้าวัง"
ฉีหนานหวังสั่งไว้ล่วงหน้าเพราะเกรงว่าซูลี่จะตามเขาเข้าวังเหมือนอย่างเคย เป้าหมายครานี้ไม่จำเป็นต้องให้นางเข้าวังด้วย
"พ่ะย่ะค่ะ!"
ทหารนายเดิมรีบเร่งฝีเท้าออกไปทำตามคำสั่ง ส่วนฉีหนานหวังก็ก้าวไปทางโรงม้าอย่างไม่รีรอ
ใช้ม้าเร็วอย่างไรกว่าจะไปถึงเมืองหลวงและเดินทางสู่วังหลวงต่อไปก็คงถึงช่วงเช้าของวันใหม่พอดี...
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปทั่วเมืองหลวงของแคว้นฉี บรรยากาศในวังหลวงดูครึกครื้นผิดปกติ โดยเฉพาะหน้าตำหนักรับรองที่เป็นที่ประทับขององค์หญิงแคว้นเย่ที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ไม่ใช่ฉีหนานหวังเพียงคนเดียวที่มาที่นี่ในวันนี้!
ขุนนางจากหลายตระกูลต่างก็ส่งฮูหยินหรือคุณหนูของจวนตนมาเป็นตัวแทนเพื่อแสดงความเป็นห่วงต่ออาการประชวรขององค์หญิงแคว้นเย่ และขอเข้าเยี่ยมตามธรรมเนียม
ฮูหยินผู้หนึ่งกำลังเจรจากับ ซุนมามา นางกำนัลอาวุโสที่องค์รัชทายาทฉีหยางเฉินส่งมาดูแลตำหนักขององค์หญิงแคว้นเย่ตอนนี้
"ซุนมามา พวกเรามาด้วยความเป็นห่วงองค์หญิง ได้โปรดขอพบองค์หญิงซือหนิงสักครู่เถิด" ฮูหยินของขุนนางอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยอย่างนุ่มนวล
ในหมู่ผู้คนที่มารวมตัวกัน หวงเจียถิง บุตรสาวคนโตของตระกูลหวง หนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่ของแคว้นฉี นางแต่งกายอย่างสง่างาม สีหน้าของนางดูเป็นกังวล ทว่าแววตากลับแฝงความมุ่งหมายที่ลึกซึ้งกว่าผู้อื่น
"ซุนมามา ท่านเองก็คงทราบดีว่าองค์หญิงซือหนิงเป็นแขกของแคว้นฉี หากรับรู้ว่ามีคนหากแคว้นเจ้าบ้านอย่างเราเป็นห่วงก็คงจะชื่นพระทัยไม่น้อย" หวงเจียถิงกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น "พวกเรามิได้ต้องการรบกวนเวลาให้มากเพียงแต่พบปะเพื่อแสดงความห่วงใยเท่านั้น"
ซุนมามาประสานมือโค้งตัวลงเล็กน้อย ทว่าท่าทีของนางยังคงหนักแน่นและเต็มไปด้วยความมืออาชีพ
"คุณหนูหวง ฮูหยินทั้งหลาย โปรดอภัย ข้าน้อยเพียงปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาท---" นางหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวเน้นเสียงอีกครา “---ฝ่าบาทได้ตรัสไว้ว่าไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมองค์หญิงซือหนิงได้ในตอนนี้ หากไม่มีรับสั่งของฝ่าบาท”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบลงทันที คำกล่าวนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่ว่าจะหวงเจียถิง หรือแม้แต่ฉีหนานหวังเองก็ไม่สามารถเข้าไปได้
ฉีหนานหวังยืนกอดอกมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ดวงตาของเขากวาดมองซุนมามาและข้าราชบริพารที่ยืนปิดประตูตำหนักไว้อย่างเข้มงวด
หากเป็นแค่เรื่องประชวร เหตุใดต้องปิดตำหนักแน่นหนาขนาดนี้? ทำราวกับว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่?
ขณะที่ฉีหนานหวังกำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่นั้น เสียงฝีเท้าของขันทีใบหน้าคุ้นเคยก็ดังขึ้นทำลายจินตนาการเหล่านั้น
ไป๋กงกง ขันทีใหญ่ประจำพระองค์ของฮ่องเต้แคว้นฉี เขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าฉีหนานหวัง ก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
"ท่านหวัง ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้าที่ตำหนักทรงพระอักษรเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ"
เขาไม่กล่าวอะไรเพียงพยักหน้าให้ไป๋กงกง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากลานตำหนัก มุ่งหน้าไปยังพระราชวังส่วนหน้าตามรับสั่งของฮ่องเต้…
...หากเดาไม่ผิดก็คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงซือหนิงผู้นี้แน่!
แสงอาทิตย์แรกของวันส่องลอดผ่านหน้าต่างของราชสำนักแห่งแคว้นฉี ห้องโถงอันกว้างขวางและโอ่อ่าเต็มไปด้วยขุนนางที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเข้มตามลำดับยศ ทุกคนยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบตรงหน้าบัลลังก์มังกรทองอันเป็นที่ประทับของ ฮ่องเต้แคว้นฉี ฉีจิ่นหลง
บรรยากาศการว่าราชการแคว้นเป็นไปอย่างเคร่งขรึม ขุนนางผลัดกันรายงานความคืบหน้าทั่วไปของแคว้น ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบปกติ หากไม่ใช่เพราะการรีบร้อนเข้ามาของขันทีผู้รับผิดชอบเฝ้าหน้าทางเข้าตำหนักแห่งนี้
"ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสำคัญต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ"
ขันทีรอสัญญาณก่อนจะคลี่ม้วนประกาศที่เพิ่งเดินทางมาถึงวังหลวงแห่งนี้อันมาจากชายแดน ก่อนจะโค้งคำนับและรายงานเสียงหนักแน่น
"มีข่าวจากชายแดนแจ้งไว้ว่า กลุ่มทูตจากแคว้นเย่กำลังเดินทางมุ่งหน้ามายังแคว้นฉี โดยให้เหตุผลว่ามาเพื่อเยี่ยมเยียน องค์หญิงซือหนิงพะยะค่ะ"
คำกล่าวนี้ทำให้ตำหนักว่าราชการเงียบลงทันที
สีหน้าของขุนนางหลายคนเปลี่ยนไป บางคนกระซิบกระซาบกันเบาๆ บางคนขมวดคิ้วเคร่งเครียด จะมีใครเล่าไม่ทราบข่าวลือที่แพร่สะพัดทั่วเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อวาน
"เหตุใดพวกเขาจึงรู้เรื่องที่องค์หญิงประชวรได้เร็วเพียงนั้นกัน?"
"สรุปแล้วองค์หญิงซือหนิงอาการเป็นเช่นกันไรกันแน่ หากว่าทูตจากแคว้นเย่มาถึงแล้วพบว่า..."
"เงียบ!"
เสียงของฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงดังขึ้น ดวงตาของพระองค์มองไปยังขุนนางที่หันไปพูดคุยอย่างอดไม่ได้ต่อหน้าเขา ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจต่อมา
"เรื่องอาการประชวรขององค์หญิงซือหนิง...ไป๋กงกง"
ไป๋กงกง ก้าวออกมาทำความเคารพขุนนางทุกท่านก่อนจะเป็นผู้กล่าวแทน
"ขอเรียนให้ทราบ อาการขององค์หญิงซือหนิงในตอนนี้พระองค์ทรงนอนซมด้วยพิษไข้ ฮ่องเต้จึงทรงมีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปเยี่ยมเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายในภายหลังเท่านั้น"
ไป๋กงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในใจของเหล่าขุนนางนั้นยังคงมีความสงสัย คำพูดของไป๋กงกงนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและช่างขัดกับความเป็นจริงยิ่งนัก อีกทั้งการที่บอกว่าตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วง แล้วในอนาคตเล่า!?
ความเป็นไปขององค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้ส่งผลต่อทิศทางการเมืองยิ่ง หากผู้ใดรู้ก่อนเตรียมการก่อนจะถือว่าได้ชัยไปกว่าครึ่งแล้ว...
"ฝ่าบาท กระหม่อมบังอาจล่วงเกินพะยะค่ะ เรื่องขององค์หญิงซือหนิงนั้นใช่ว่าจะทำให้พวกกระหม่อมคลายใจได้เพียงรู้อาการเท่านั้น มิสู้ให้บุตรสาวของหม่อมฉันที่พอรู้วิชา---"
ก่อนจะเกิดข้อพิพาทไปมากกว่านี้ฉีหนานหวังก็ก้าวออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นแผ่กำจายรังสีเฉพาะกาย
"พวกท่านเข้าไปเยี่ยมพระนางแล้ว สามารถรักษาอาการประชวรขององค์หญิงซือหนิงได้หรือ? คนของพวกท่านเชี่ยวชาญกว่าหมอหลวงหรือ?"
ขุนนางที่กำลังคิดจะค้านชะงักไปทันทีราวถูกใครรั้งไว้ ฉีหนานหวังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยเหตุผลตอกหน้าขุนนางทั้งหลาย
"การเข้าไปเพียงเพื่อดูว่าองค์หญิงเป็นเช่นไร มีแต่จะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนมากกว่า...หรือพวกท่านคิดเห็นต่างจากที่ข้ากล่าวหรือ?"
ขุนนางหลายคนเริ่มเงียบลง เพราะไม่มีใครกล้าขัดกับเหตุผลนี้ เพราะที่พวกเขาต้องการไม่เยี่ยมเยียนก็เพราะอยากรู้ความเป็นไปเท่านั้น ไหนจะเรื่องทูตจากแคว้นเย่ที่เดินทางมาอย่างได้ประจวบเหมาะนี่อีกเล่า
ฮ่องเต้ฉีจิ่นหลงทอดพระเนตรฉีหนานหวังด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ
"ถ้าเช่นนั้น…ก็มาว่ากันถึงเรื่องทูตจากแคว้นเย่กันต่อ ขุนนางที่รักใครจะเป็นผู้อาสารับหน้าที่ต้อนรับทูตจากแคว้นเย่?"
ทันทีที่คำถามนี้ถูกเอ่ยขึ้น บรรยากาศในตำหนักก็เงียบลงอีกครั้ง
ขุนนางหลายคนหลบสายตา ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอตัว ในเมื่อความเป็นไปขององค์หญิงซือหนิงก็ยังไม่รู้แน่ชัดเลย หากองค์หญิงซือหนิงประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ไปจริงๆ ผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ก็จะมิพลอยถูกลงโทษไปด้วยหรือ?
แต่แล้วน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำของผู้อาสาก็ดังขึ้น…
"กระหม่อมขอรับหน้าที่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ"
