บทที่ 10 องค์หญิงซือหนิงสิ้นแล้วหรือ?
ซือหนิงเดินทอดน่องอยู่ตามลำพังยังทางกลับตำหนักรับรองหลังจากที่สั่งให้หลี่เจ๋อหานกลับไปก่อนแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจขององครักษ์หลี่จางหายไป ซือหนิงหยุดเดินกะทันหันก่อนจะเอ่ยเสียงดังขึ้นราวกับคุยกับใครอย่างไรอย่างนั้น
"ออกมาเถอะอย่าซ่อนเลย ข้ารู้ว่าเจ้าแอบตามมาสักพักแล้ว"
ความเงียบแผ่กระจายออกไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจะดังขึ้นจากเงามืด
บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าคมคายของเขายังคงเยือกเย็น ราวกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย เส้นผมดำขลับเกล้าไว้เรียบร้อย ฉลองพระองค์หรูหราสะท้อนแสงจันทร์ขับให้บุคลิกของเขาดูสูงศักดิ์
...ฉีหนานหวัง
น้องชายเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้แคว้นฉีที่เหลือรอดจากสงครามภายในก่อนฮ่องเต้พระองค์นี้ครองราชย์ บัดนี้เขาเป็นหนึ่งในขุนนางผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งแห่งแคว้นฉี
"หึ"
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากลำคอของฉีหนานหวัง ขณะดวงตาคมกริบจับจ้องมายังซือหนิงอย่างไร้ความรู้สึกผิด "นี่ก็ทางผ่านมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าทำอย่างกับว่าข้าตามมากัน"
ซือหนิงหัวเราะในลำคอก่อนเอ่ยน้ำเสียงใคร่รู้ "ผ่านทาง?" นางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ "อย่าบอกนะเพคะว่าฉีหนานหวังที่มีตำหนักแยกออกไปจากพระราชวังนานแล้วก็ชอบที่จะเดินเล่นผ่อนคลายถึงในวังด้วยเช่นกัน ช่างเดินเล่นได้ไกลยิ่งนัก..."
ฉีหนานหวังไม่ตอบในทันทีเขาก้าวเข้ามาใกล้ซือหนิง และใช้ดวงตามืดมนจ้องมองนางด้วยสายตาที่นางอ่านไม่ออก
ระยะที่เขาเหลือไว้นี้น้อยเสียจนซือหนิงรับรู้ถึงระดับลมหายใจของอีกฝ่ายเลยล่ะ ทว่านางก็ไม่คิดจะถอยออกไปอย่างผู้แพ้หรอก สถานการณ์ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีแข่งกันจ้องตาอย่างไม่มีใครยอมใคร...
"เจ้าพบองค์รัชทายาทในยามดึกสองต่อสองเช่นนี้ เจ้ามีแผนการอันใดกันแน่?"
ซือหนิงยิ้มบาง ๆ อย่างหยอกล้อนิด ๆ
"โอ๊ะ นี่ทางผ่านของพระองค์ช่างบังเอิญเจอหม่อมฉันอีกแล้วหรือเพคะ?"
"..."
ฉีหนานหวังไม่ตอบและดูเหมือนจะไม่สนใจเล่นกับนางด้วยซ้ำ ซือหนิงนั้นมีนิสัยชอบทำลายกำแพงน้ำแข็งคนจึงอดไม่ได้ที่จะหุบยิ้มและกลับมาจริงจังอย่างที่อีกฝ่ายทำบ้าง
"เรื่องนี้หม่อมฉันไม่มีอำนาจตอบเพคะ หากทรงอยากทราบว่าหม่อมันมีแผนอันใดก็เชิญเสด็จไปถามองค์รัชทายาทเลยเพคะ"
ซือหนิงพูดเช่นนี้เพราะอาศัยความไม่ลงรอยของสองคนไม่พอ นางยังพูดโดยอ้อมว่านางไม่จำเป็นต้องบอกเขาด้วย
"ข้าสงสัยนักเชียวว่าองค์หญิงซือหนิงแห่งแคว้นเย่ผู้มากแผนการคิดว่าตนเองเป็นใคร คิดจะปั่นหัวบุรุษในราชวงศ์แคว้นฉีเราอย่างไรก็ได้หรือ?!" ฉีหนานหวังผู้เยือกเย็นบัดนี้กลับแสดงท่าทางฉุนเฉียวขึ้นมา "เจ้ากำลังคิดจะยั่วยวนองค์รัชทายาทเพื่อให้ได้ตำแหน่งชายาเอกสินะ?"
ซือหนิงกระพริบตาปริบ ๆกับท่าทีฉุนเฉียวกับคำพูดที่ราวนางเป็นสตรีที่ยั่วยวนมากบุรุษ ทั้งที่เขาก็เห็นว่านางนัดพบเพียงแค่องค์รัชทายาทมิใช่หรือไร?
หรือเขาคิดว่านางไปยั่วยวนบุรุษไหนอีก? หลัวกงกงหรือ?
"อ่า พระองค์เข้าใจผิดแล้วเพคะ ในศาลานั้นไม่ได้มีเพียงหม่อมฉันกับองค์รัชทายาทเท่านั้น แต่ยังมีหลัวกงกงและคนของหม่อมฉันอยู่ด้วย"
"เรื่องนั้นข้าหาได้อยากรู้ไม่! เรื่องนั้น---"
ซือหนิงหัวเราะเบาๆ พลิกผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะหลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "เช่นนั้น…พระองค์กังวลว่าหม่อมฉันจะได้เป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทหรือเพคะ? พระองค์ชอบหม่อมฉันหรือ?"
ฉีหนานหวังชะงักไปเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบแผ่รังสีเข่นฆ่าออกมาทันใด
นางเห็นว่ามุมปากของเขากระตุกและท่าทีราวนางไปล่วงเกินอันใดเขา นั่นทำให้รู้ได้ว่าการโยนหินถามทางไปเมื่อครู่คงไม่น่าใช่อย่างที่คาดเดา
ค่อยยังชั่วที่เขามิได้มีความรู้สึกอันใดกับนาง มิเช่นนั้นแล้วคงเกิดปัญหาและความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่าเหตุใดฉีหนานหวังผู้นี้ถึงดูเป็นปรปักษ์กับนางเช่นนี้
"เพียงอยากเตือนว่าอย่าได้หวังเกินตัว..." เขากล่าวเสียงเรียบ "ตำแหน่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่องค์หญิงต่างแคว้นจะไขว่คว้าได้"
เรื่องที่ฮองเฮาของแคว้นมิอาจเป็นสตรีจากแคว้นอื่นได้ก็มิใช่ว่านางจะไม่รู้เสียหน่อย นางทำอันใดจนทำให้เขาคิดเช่นนั้นกันเล่า
"หม่อมฉันรู้ตัวดีเพคะ ว่าตนเองมีสถานะใด" ซือหนิงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะลดเสียงลง "หรือว่าพระองค์กังวลว่าองค์รัชทายาทจะสนพระทัยในตัวหม่อมฉันจนละเลยแว่นแคว้น?"
ดวงตาของฉีหนานหวังฉายแววเย็นชา
"ข้าอยากเตือนอย่างเดียว" เขากล่าวช้าๆ "ขออย่าให้องค์หญิงซือหนิงลืมตัวว่าพระองค์อยู่ในแคว้นฉีด้วยสถานะใดก็พอ...อย่าได้คิดจะใช้มารยาล่อลวงและสร้างความยุ่งยากไปมากกว่านี้"
ซือหนิงฟังนิ่งคิ้วขมวดมุ่นอย่างนึกฉงน คำพูดของฉีหนานหวังผู้นี้เหตุใดนางฟังแล้วรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่สมเหตุสมผลกันนะ...
ซือหนิงเก็บความสงสัยนั่นไว้ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับสายตา นางรู้ว่าหากนางเอ่ยปากถามไปก็หาได้รับคำตอบไม่ มีแต่ต้องลงมือหาคำตอบเองนั่นล่ะ!
หลายวันถัดมา ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นฉี เสียงจอกน้ำชากระทบโต๊ะไม้ดังเป็นจังหวะคละเคล้าไปกับเสียงพูดคุยจอแจของเหล่าผู้คนที่มารวมตัวกันในโรงน้ำชาแห่งนี้ กลิ่นหอมของใบชาชั้นดีลอยฟุ้งไปทั่ว ทว่าหัวข้อสนทนาที่ดังก้องอยู่ในโรงน้ำชากลับไม่ได้เกี่ยวกับรสชาติของชาหรือขนมตรงหน้าแต่อย่างใด
"เจ้ารู้ข่าวหรือไม่?" ชายวัยกลางคนที่แต่งกายเป็นพ่อค้าเอ่ยขึ้นขณะเทน้ำชาลงในจอก "ว่ากันว่าองค์หญิงแคว้นเย่ล้มป่วยหนักตั้งแต่หลายวันก่อน!"
"จริงรึ?" ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งร่วมโต๊ะกันขมวดคิ้ว ก่อนจะหัวเราะแผ่วๆ "มาถึงป่านนี้แล้ว พระนางยังไม่ชินกับอากาศของแคว้นฉีอีกหรือไร?"
"หึ ข้าว่ามิใช่เพราะอากาศหรอก" ชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแค่นหัวเราะ "จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตำหนักขององค์หญิงน่ะ?"
"เฮ้ย! เจ้าอย่าพูดเหลวไหล" คนหนึ่งกระซิบ "ถึงแม้องค์หญิงจะถูกผลัดผ่อนเรื่องการแต่งงาน แต่อย่างไรพระนางก็เป็นแขกของแคว้นเรา หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นจริงๆ เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อราชสำนัก!"
"จริงอย่างที่ว่า" ผู้เฒ่าที่นั่งจิบชาเงียบๆ มานานเอ่ยขึ้น "แต่ว่ากันว่า…พระอาการขององค์หญิงคราวนี้หนักหนาไม่น้อย แพทย์หลวงเข้าออกตำหนักนางเป็นว่าเล่น ได้ยินว่าบางคนถึงกับกล่าวว่านางอาจจะ…สิ้นพระชนม์ที่แคว้นฉีของเราก็เป็นได้"
เมื่อคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา บรรยากาศในโรงน้ำชาก็เงียบลงครู่หนึ่งทันใด
"เจ้านี่ก็พูดเดาไปเรื่อย…" ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นทำลายความเงียบนั้น เขาทำสายตาล่อกแล่กก่อนเอ่ยตอบ "พวกเราอยู่ห่างวังหลวงตั้งเท่าไรจะไปรู้เรื่องราวในวังได้หรือ พวกเจ้าคิดมาไปแล้ว ทำงานเถอะ ๆ"
เสียงพูดคุยยังคงดังระงมอีกครั้งแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิด บางคนหวาดกลัว บางคนจับจ้องเรื่องราวนี้ด้วยความสงสัย และบางคนก็หันกลับไปคุยเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่า
ท่ามกลางผู้คนในโรงน้ำชาอันแสนจะวุ่นวายนั้น ชายหนุ่มลึกลับผู้หนึ่งที่สวมชุดเรียบง่ายแต่มีกิริยาทำตัวแตกแยกนั่งจิบชาเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใด เขาเพียงยกจอกชาขึ้นจิบคราสุดท้ายก่อนจะวางจอกชาลงเบาๆ เรียกเสี่ยวเอ้อมาจ่ายเงินแล้วก็เดินจากมา
ภายในห้องอับแสงมุมของหอนางโลมในช่วงกลางวันแห่งหนึ่ง ภายในมีเพียงแสงเทียนริบหรี่ส่องประกายอยู่บนโต๊ะไม้ บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านในของห้อง แผ่นหลังของเขาตั้งตรงและนิ่งสงบ เขาสวมอาภรณ์สีเข้ม เงาของเขาทอดยาวไปตามกำแพง ทว่าใบหน้ากลับถูกบดบังจากมุมมืดอย่างลึกลับ
เสียงหน้าต่างเลื่อนเปิดแผ่วเบา ก่อนที่เงาของบุรุษอีกคนจะปรากฏขึ้นข้างในห้อง เขาผู้นี้คือชายหนุ่มที่เพิ่งจากมาจากโรงน้ำชานั่นเอง
"คาดว่าน่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้แล้วขอรับ" บุรุษที่เพิ่งเข้ามากระซิบรายงานเสียงต่ำ "แม้พวกเราจะไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัดจากคนในวังหลวงโดยตรง แต่จากข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ข้ามั่นใจว่าเหตุการณ์ที่พวกเราลงมือไปเมื่อหลายวันก่อนคงเกิดผลแล้ว"
เจ้าของห้องยังคงไม่หันกลับมา เขานั่งนิ่ง ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆราวกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
บุรุษที่รายงานเหลือบมองท่าทางนั้นก่อนจะเอ่ยเสริม "อีกทั้ง...ตอนนี้คนของเราที่คอยจับตาดูอยู่รอบนอกก็ส่งข่าวมาบอกว่าไม่สามารถติดต่อกับคนในตำหนักรับรองได้เลย คนขององค์รัชทายาทเฝ้าตำหนักอย่างแน่นหนา..."
เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ
"นั่นแสดงว่าทางพระราชวังอาจกำลังปิดข่าวอยู่"
บรรยากาศในห้องเงียบลงครู่หนึ่ง ในที่สุดเจ้าของห้องที่เอาแต่ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะหยุดลง
"เรื่องนี้คาดเดาได้ยากนัก เราจะรอให้แน่ใจมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว"
เจ้าของห้องเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและเด็ดขาด "หากองค์หญิงสิ้นพระชนม์แล้วจริง บัดนี้แคว้นฉีก็คงคิดจะปิดตำหนักและอาจกำลังจัดฉากเพื่อแก้ต่างอยู่ หากรั้งรอให้เวลาผ่านไปมากกว่านี้นั่นหมายความว่าเราแผนของเราก็จะยิ่งยากเข้าไปอีก"
บุรุษที่มารายงานก้มรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ส่งข่าวกลับไปทันที"
"ขอรับ!"
บุรุษผู้เป็นสายลับโค้งศีรษะคำนับ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาลอบออกจากห้องไปโดยไร้เสียงในทันที