บทที่ 6 ป่วยหนัก
บทที่ 6 ป่วยหนัก
กลางดึกคืนนั้น จู่ ๆ ถังลู่เหมยก็ล้มป่วย นั่นคงเพราะตากน้ำค้างในป่านานเกินไป ร่างของหญิงสาวนอนสั่นแถมตัวยังร้อนมาก
“พี่เยี่ย ตื่นเถอะ อาเหมยตัวร้อนมาเลย สงสัยน่าจะตากน้ำค้างเมื่อเย็นน่ะ พี่ตื่นมาดูลูกหน่อย” เหนียงฟางเขย่าตัวสามีด้วยความร้อนใจ
“อาเหมยป่วยเหรอ” ถังเยี่ยรู้สึกตัวเมื่อภรรยาเขย่าตัวเรียก เสียงของแม่ทำให้ถังอี้คุนที่นอนอยู่มุมห้องต้องลุกขึ้นมาอีกคน ก่อนจะรีบมาจับตัวน้องสาวด้วยความเป็นห่วง
“น้องตัวร้อนมาเลยแม่ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวผมจะลองเข้าป่าไปหาสมุนไพรมาต้มให้น้องดื่ม เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น” ชายหนุ่มเลือกที่จะเสี่ยงขึ้นเขาเวลานี้ ดีกว่าจะต้องไปเคาะเรียกบ้านใหญ่แล้วถูกด่ากลับมา ถ้าโดนด่าแล้วได้เงินเขาก็ยินดีทำ แต่ส่วนมากจะโดนด่าแต่ไม่ได้เงิน
“แต่เวลานี้มันดึกมาแล้ว ขึ้นเขาเข้าป่าตอนนี้อันตรายมากนะอาคุน” ถังเยี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ลูกชายขึ้นเขาไปหาสมุนไพรเวลานี้
“แล้วพ่อจะให้ผมทำอย่างไร นั่งมองน้องจับไข้และหนาวสั่นแบบนี้เหรอครับ ผมทำไม่ได้ ผมไปไม่นานเดี๋ยวจะรีบกลับมา” พูดจบถังอี้คุนเลือกที่จะเปิดประตูห้องและเดินออกมา ทำให้สองสามีภรรยามองตามแผ่นหลังลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“เราจะไม่ทำอะไรกันเลยเหรอคะพี่เยี่ย” เหนียงฟางสงสารลูกทั้งสอง จึงได้หันมาถามสามีด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“เธอเช็ดตัวให้ลูกก่อนเถอะ ฉันเองจะลองไปดูที่บ้านพี่จ๋ายเสียหน่อย” ถังเยี่ยตั้งใจว่าจะไปขอหยิบยืมเงิน เพื่อที่เช้ามาจะได้พาถังลู่เหมยไปหาหมอ
“พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าบ้านเยี่ยไม่มีใครอยู่เลย เมื่อกลางวันทั้งหมดเดินทางไปต่างเมือง เพื่อไปขอลูกสะใภ้ให้อาเต๋อ” เหนียงฟางตอบกลับสามี เพราะเมื่อกลางวันเธอยังคุยกับพี่สะใภ้บ้านนั้นอยู่เลย
“จริงด้วย” คราวนี้ถังเยี่ยเครียดและกลุ้มใจมากกว่าเดิม เพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนเพื่อพาลูกสาวไปหาหมอ
หว่านอันถิงได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เพราะเธอเองยังไม่ไปไหน อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าหลานป่วยขนาดนี้ ต่อให้เลวร้ายอย่างไร ก็ไม่ควรจะหันหน้าหนี ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะเธอเพิ่งมาพบกับครอบครัวบ้านถังก็วันนี้เอง
จะว่าไปบ้านรองถังน่าสงสารมาก แม้จะเป็นคนในบ้านถัง แต่มีความเป็นอยู่ไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ย เธอแทบมองไม่เห็นทางเลย ที่บ้านรองนี้จะทำเรื่องแยกบ้านได้ ส่วนหญิงสาวอย่างถังลู่เหมยเธอรู้สึกว่าช่างอาภัพนัก นอกจากจะเกิดมาไม่ปกติแล้ว ย่ายังหลอกไปให้ตายอีก หากวันนี้ไม่มีคนรู้หรือไม่มีใครออกตามหา คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าเธอมีเลือดเนื้อคงได้ช่วยอะไรครอบครัวนี้บ้าง แต่เธอจะช่วยได้อย่างไร ในเมื่อหว่านอันถิงในเวลานี้คือวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น “เฮ้อ...” ตอนนี้ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
เมื่อถังอี้คุนกลับมา เขารีบต้มยาให้น้องสาวกินเพื่อหวังว่าไข้ของเธอจะลดลงบ้าง!!
บทที่ 6 เข้าร่าง
เช้าวันต่อมา...
หลังจากที่ป้อนยาให้กับถังลู่เหมยแล้ว ทั้งสามคนแทบไม่มีใครได้นอนเลยเนื่องจากเป็นห่วงหญิงสาว แม้ว่าจะได้กินยาต้มแล้ว แต่ไข้กลับไม่ลดลงเลย เหนียงฟางทำได้เพียงเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนของร่างกายลูกสาวเท่านั้น
“อาคุนไปลูกนอนสักหน่อยไหม เดี๋ยวพ่อจะบอกหัวหน้าชิงให้ว่าวันนี้ลูกขอหยุด” ถังเยี่ยเอ่ยขึ้นอย่างห่วงสภาพร่างกายของลูกชาย เพราะหากต้องไปทำงานกลางแดดจ้าโดยที่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืน เขากลัวว่าลูกชายจะเป็นลมแดดเอานะสิ
“ไม่เป็นไรหรอกครับพ่อ ผมยังหนุ่มแน่นและก็แข็งแรงดี พ่อนั่นแหละที่ต้องพักผ่อนอยู่บ้านจะได้ช่วยแม่ดูแลน้อง แต่วันนี้ผมตั้งใจจะลางานแล้วจะเข้าเมืองเสียหน่อย เผื่อว่าจะมีงานอะไรให้ทำแลกกับค่ายาของน้อง” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ และยังบอกให้ผู้เป็นพ่อพักแทน ซึ่งตัวเขาเองก็จะหยุดงานในคอมมูนและไปหางานในเมืองเพื่อจะได้เงินไปซื้อยามาให้น้องสาวเหมือนกัน
“มันอันตรายนะลูก พ่อว่าจะลองไปบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านดูว่าพอจะให้หยิบยืมเงินได้บ้างหรือเปล่า” นี่คือทางเลือกที่ถังเยี่ยคิดไว้ การที่จะไปทำงานในเมืองซึ่งก็คือตลาดมืด มันเสี่ยงที่จะถูกทหารแดงจับไปลงโทษได้
“อย่าเลยครับพ่อ หัวหน้าหมู่บ้านน่าจะไม่มีเงินเหมือนกัน หรือมีก็คงไม่ให้ อย่าลืมว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยนะครับ เขาจะให้ยืมเหรอครับ อีกอย่างภรรยาของเขาเป็นอย่างไรเราก็รู้กันอยู่” ถังอี้คุนไม่เชื่อว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะให้ยืม เพราะรายนั้นไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงกับภรรยาสักเท่าไร แล้วภรรยาของเขานั้นทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไร นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว อาจจะเป็นหัวข้อให้นางเอาไปนินทาอย่างสนุกปากเสียเปล่า ๆ
”นั่นก็จริงของลูกนะพี่ แล้วเราจะทำยังไงกันดี” เหนียงฟางพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ
“พี่จะลองไปเบิกเงินกองกลางจากแม่ดู” ถังเยี่ยพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นแทบจะไม่มีความหวังเลยกูตามหว่านอันถิงที่ยังคงติดตามบ้านรองและได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ภายในใจนั้นคิดว่าทำไมชะตากรรมของบ้านรองถึงได้เป็นอย่างนี้ แม้จะหยิบยืมเงินของใครสักคนก็ช่างลำบากเหลือเกิน
ในขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น ย่าถังก็เดินมาเคาะประตูเสียงดัง
ปัง ๆ ๆ
“สะใภ้รอง นี่หล่อนจะขี้เกียจเกินไปหรือเปล่า ทำไมข้าวปลาอาหารถึงยังไม่ได้ทำอีกให้ฉันกินอีก หรือว่ามีใครกำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ” เสียงของหญิงชราดังอยู่หน้าประตูห้อง ทำให้ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เดี๋ยวฉันออกไปเอง พี่กับลูกอยู่ดูแลอาเหมยเถอะ” เหนียงฟางหันมาบอกสามี เธอรู้ดีว่าต่อให้เธอไม่เดินออกไปเอง แม่สามีก็คงจะอาละวาดไม่หยุดแน่ ๆ หรืออาจจะพังประตูเข้ามาก็ได้เพราะเคยทำมาแล้ว
“ออกมาแล้วเหรอ ทำไมไม่ไปทำกับข้าวให้ฉันกิน หล่อนจะให้ฉันอดตายเลยให้ได้จริง ๆ ใช่ไหม งานบ้านก็ไม่ไปทำ จะให้ฉันเองหรืออย่างไร อกตัญญูเสียจริง” ย่าถังรีบพูดด่าทอทันทีที่ลูกสะใภ้รองเปิดประตูออกมา“วันนี้ฉันคงไม่ได้ทำอาหารหรือทำงานนะแม่ อาเหมยไม่สบาย ฉันต้องอยู่ดูแลลูก” เหนียงฟางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อยืนประจันหน้ากับแม่สามี
“แล้วอย่างไร นังเด็กนั่นจะตายลงเดี๋ยวนี้หรือยังไง คนอื่นก็มีก็ให้ดูแลไปสิ หล่อนควรจะไปทำอาหารให้ฉันกับตาแก่กินก่อนสิ เรื่องนี้สำคัญที่สุด หรือหล่อนตั้งใจจะให้พ่อแม่สามีอดตาย” ย่าถังพูดออกมาอย่างไม่สนใจว่าถังลู่เหมยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เวลานี้นางต้องการให้ลูกสะใภ้คนรองไปทำอาหารให้ทุกคนกินมากกว่าที่จะมานั่งดูแลเด็กไร้ประโยชน์ที่สมควรตายไปตั้งนานแล้วคนนั้น
“แต่แม่คะ อาเหมยคือลูกสาวของฉัน เวลานี้เธอกำลังไม่สบายมากนะคะ” เหนียงฟางรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหญิงชรา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรคนตรงหน้าคือแม่สามี และคำว่ากตัญญูก็ค้ำคอเธออยู่
“แล้วอย่างไร หล่อนอยู่แล้วจะช่วยได้อย่างนั้นเหรอ ฉันว่าหล่อนควรจะทำงานอย่างอื่นมากกว่ามาอยู่ดูแลนังเด็กไร้ประโยชน์คนนั้น”
ย่าถังยังคงยืนยันกับความคิดของตนเอง และไม่เห็นว่าอาการป่วยของถังลู่เหมยจะสำคัญไปกว่าปากท้องของบ้านใหญ่ หรือถ้ารักษาไม่ได้ก็ให้ตายๆ ไปเลยยิ่งดี นางจะได้ไม่ต้องลำบากในการหาวิธีกำจัดเด็กคนนี้
