บทที่ 7 ฉันกลายเป็นหญิงบ้าเหรอเนี่ย
บทที่ 7 ฉันกลายเป็นหญิงบ้าเหรอเนี่ย
ถังเยี่ยที่ฟังอยู่ตั้งแต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาพบหน้าแม่ตนเอง ก่อนจะพูดช่วยภรรยา “แม่ แต่อาเหมยไม่สบายเป็นไข้สูงมาก อาฟางต้องอยู่ดูแลคอยเช็ดตัวให้ตลอดนะ แม่มาก็ดีแล้ว ผมขอเบิกเงินกองกลางเพื่อพาลูกไปหาหมอในเมืองหน่อยนะครับ” ถังเยี่ยพูดกับแม่อย่างใจเย็นและถือโอกาสขอเบิกเงินกองกลางเพื่อจะได้พาลูกสาวไปหาหมอ
“เงินอะไรกัน ฉันไม่มีให้เบิกหรอก รายได้บ้านเรานิดเดียวจะไปพอยาไส้อะไร ลูกแกป่วยก็ไปเก็บสมุนไพรบนเขามาต้มให้กินสิ เงินกองกลางมีไว้ใช้ในเรื่องจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่เอามาใช้กับเด็กที่สติไม่สมประกอบและไร้ค่าอย่างลูกแก” นางยังคงยืนยันว่าไม่มีเงินให้หรือถึงมีก็ไม่ให้ นั่นก็เพราะว่าในใจอยากให้หลานสาวที่มีสติไม่สมประกอบตายไปเสียเลย เพื่อที่บ้านรองจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับนังเด็กไร้ประโยชน์นี่ แล้วไปทำงานหาเงินเข้ากองกลางเยอะ ๆ
หว่านอันถิงที่มองเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วเธออยากจะเข้าไปขยุ้มคอของหญิงชราคนนี้เสียเหลือเกิน เธอมองว่าคนที่ไร้ประโยชน์และน่าจะรีบตายๆ ไปซะคือย่าถังมากกว่าถังลู่เหมย เพราะเหมือนว่าหญิงชราคนนี้จะมีจิตใจที่ไร้ความมนุษย์มากจนเกินไปแล้ว หลานตัวเองแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรเลยเหมือนจงใจให้หญิงสาวที่นอนป่วยอยู่ตายไป
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เห็น และยิ่งสงสารคนบ้านรองที่ต้องมาอยู่กับยัยย่ามหาภัยคนนี้!! จึงทำให้เธออยากมีร่างเป็นมนุษย์ แล้วไปจัดการย่าถังคนนี้ซะให้อยู่หมัด
ทั้งสามคนรู้อยู่แล้วว่าต้องได้คำตอบแบบนี้ ถังอี้คุนเองก็หมดใจกับย่าแล้วเหมือนกัน เวลานี้น้องสาวเพียงคนเดียวของเขานอนทุกข์ทรมานเพราะพิษไข้ แต่คนที่ได้ชื่อว่าย่ากลับเมินเฉย แถมยังจะให้แม่เขาไปทำอาหารให้ทุกคนอีก เขาจึงเดินออกไปที่หน้าบ้าน
“แม่กลับเข้าไปดูแลอาเหมยเถอะครับ ป้าสะใภ้ก็ว่างอยู่ เพราะงานในทุ่งก็ไม่ได้ทำ น่าจะทำส่วนนี้ให้ปู่กับย่าและคนบ้านใหญ่ได้”ชายหนุ่มพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เอ๊ะอาคุน ย่ากำลังพูดอยู่นะ” ย่าถังหันมาโวยใส่หลานชายที่ขัดคำสั่งของตนอย่างไม่พอใจทันที
“ผมรู้ครับ แต่บ้านถังของเราใช่ว่าจะมีแค่แม่ที่ทำอาหารได้ ป้าสะใภ้ใหญ่หรือหลานจากบ้านใหญ่ก็มีแขน มีขา ไม่ได้พิการอะไร ก็น่าทำได้เหมือนกันนี่ครับย่า ทำไมต้องเป็นแค่แม่เท่านั้นด้วยละครับที่ต้องไปทำอาหารและงานบ้านให้กับบ้านใหญ่ แถมต้องไปทำงานในทุ่งนาอีก ก็ให้รู้ไปว่าถ้าแม่ไม่ไปทำอาหารให้ทั้งบ้านใหญ่จะอดตาย อีกอย่างเวลานี้อาเหมยกำลังไม่สบายหนักอย่างที่แม่บอกไป แต่แทนที่ย่าจะห่วงหลาน กลับมาเร่งให้แม่ไปทำกับข้าวให้ทุกคนกินเนี่ยนะ” ถังอี้คุนพูดขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น นั่นก็เพราะว่าสายตาเหลือบไปเห็นบ้านใหญ่กำลังแอบมองอยู่
พอได้ยินคนลูกชายคนโตพูดแบบนี้ เหนียงฟางไม่รอช้ารีบเดินเข้าห้องไปทันที เพื่อที่จะไปดูถังลู่เหมยที่กำลังป่วยด้วยความร้อนใจ
ถังเยี่ยเองก็ไม่คาดหวังกับผู้เป็นแม่ ต่อให้เขาจะคุกเข่าขอร้องให้ตาย แม่ก็คงไม่ให้เงินกับเขาเพื่อพาลูกสาวไปหาหมอ จึงตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องอีกคน เพราะหากอยู่ตรงนี้เขาอาจจะพูดจาตอบโต้แม่ออกไปจนเรื่องบานปลายได้
“นี่ จะไปไหนกัน ไปทำอาหารให้ฉันกินเดี๋ยวนี้”
พอเห็นว่าลูกชายและลูกสะใภ้เดินเข้าห้องไปแล้ว หญิงชราจึงได้แต่ตะโกนออกมาและกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ แล้วหันมามองหน้าหลานชายด้วยความโมโห แต่ถังอี้คุณไม่สนใจเขายังยืนจ้องมองกลับไปอย่างไม่ยินยอมเหมือนกัน
“แก ไอ้พวกคนอกตัญญู” ย่าถังชี้หน้าด่าหลานชายและเมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงเดินกลับไปยังบ้านใหญ่ของตนเอง
เมื่อย่าถังกลับไปแล้วถังเยี่ยก็ออกไปทำงานที่คอมมูน ส่วนถังอี้คุณนั้นเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปทำงานในตลาดมืดอย่างที่ตั้งใจ
วันเวลาผ่านไปค่อนวัน อาการของถังลู่เหมยไม่ดีขึ้นเลย แถมยังหนักลงเรื่อย ๆ จนเหนียงฟางใจไม่ดี
“อาเหมยลุกมากินข้าวสักหน่อยเถอะลูก อาการจะได้ดีขึ้น” เหนียงฟางพูดขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ตอนนี้เธอเป็นห่วงลูกสาวจากใจเพราะอาการของถังลู่เหมยนั้นไม่ดีขึ้นเลย
เมื่อไม่มีท่าทีตอบสนองกลับมา เธอจึงพยายามพยุงร่างของลูกสาวเพื่อที่จะป้อนอาหารให้เธอกินสักหน่อย เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น แต่ไม่ว่าทำอย่างไรลูกสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ กลับมา เอาแต่นอนหายใจแผ่วเบาออกมา
“อาเหมย ทำเป็นแบบนี้ล่ะลูก อย่างนั้นรอแม่สักครู่นะ แม่จะไปตามพ่อมาเพื่อพาลูกไปหาหมอ”
เหนียงฟางเห็นอย่างนั้นจึงได้ตัดใจยอมปล่อยลูกสาวไว้ในห้องเพียงลำพัง แล้ววิ่งไปตามสามีที่คอมมูน ส่วนลูกชายเธอรู้ดีว่าเขาน่าจะอยู่ที่ตลาดมืดแล้ว เพราะก่อนจะแยกจากกัน ถังอี้คุณได้บอกผู้เป็นแม่ว่าจะไปหาเงินที่นั่น เพื่อจะได้พาน้องสาวเพียงคนเดียวไปหาหมอ
เหนียงฟางรีบออกไปจากบ้าน โดยที่ไม่รู้เลยว่าพอคล้อยหลังไม่นาน ถังลู่เหมยบุตรสาวเพียงคนเดียว ได้จากเธอและครอบครัวไปแล้วตลอดกาล
หว่านอันถิงมองดูวิญญาณของหญิงสาวออกจากร่างด้วยความตกใจ อีกทั้งร่างของถังลู่เหมยเองก็ยังส่งยิ้มให้เธอโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ร่างโปร่งแสงคล้ายจะล่องลอยไปที่ไหนสักแห่ง เธอจึงเรียกไว้ด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวก่อนสิ เธอกำลังจะไปไหน เธอจะตายแบบนี้ไม่ได้นะรู้ไหมว่าทุกคนในครอบครัวรักเธอมากแค่ไหน เธอจะทิ้งพวกเขาไว้กับความเสียใจได้เหรอ” ไม่พูดเพียงอย่างเดียว แต่สองมือของหว่านอันถิงพยายามคว้าร่างของอีกฝ่ายไว้อย่างสุดกำลัง
ถังลู่เหมยยอมหยุดและหันมายิ้มอ่อนหวานให้กับร่างโปรงแสงที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“หมดเวลาของฉันในโลกใบนี้แล้วค่ะพี่สาว อย่างไรฉันขอฝากครอบครัวไว้ในมือพี่สาวด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ”
เวลานี้ถังลู่เหมยไม่มีแววตาและท่าทางเหมือนคนไร้สติปัญญาหรือมีสติไม่สมประกอบอีกแล้ว เมื่อพูดบอกลาและฝากฝังครอบครัวไว้เรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งแสงของเธอก็ล่องลอยออกจากห้องและหายไปทันที
“อย่าเพิ่งไปสิ กลับมาก่อน” หว่านอันถิงตะโกนตามไปอย่างร้อนรน
ซึ่งแม้ว่าหว่านอันถิงพยายามคว้าร่างของถังลู่เหมยไว้ สองขาพยายามก้าวตามไป แต่ทว่าเหมือนมีอะไรมาดึงดูดเธอไว้ จู่ ๆ ภาพในหัวของเธอก็กลายเป็นมืดสนิท พร้อมกับสติที่ดับวูบไป
และ จู่ ๆ ร่างที่นอนไร้สติก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง
“โอ๊ย ทำไมปวดหัวอย่างนี้ล่ะ” ตามด้วยเสียงที่พูดขึ้นมา
หว่านอันถิงพยายามกุมขมับเพื่อลดอาการปวดหัวที่ประดังเข้ามา ก่อนจะหันไปมองสิ่งรอบกายด้วยความมึนงง แต่พอเริ่มคุ้นชินกับภาพตรงหน้า จึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องของบ้านรองถัง “อย่าบอกนะว่า...”
ทันทีที่คิดได้เธอก็แทบสิ้นสติ และเริ่มสำรวจร่างกายตนเองแต่ก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าตอนนี้เธออยู่ในร่างของถังลู่เหมย หญิงสาวผู้สติไม่สมประกอบหรือเรียกง่าย ๆ ว่าหญิงบ้าคนนั้นจริง ๆ
