บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ย่ามหาภัย

บทที่ 5 ย่ามหาภัย

หญิงสาวกระโดดสองขาก่อนที่จะโบกมือไปมา เพียงครู่เดียวสองพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน ถังเยี่ยดีใจจนน้ำตาไหล เขารีบตรงเข้าไปกอดลูกสาวไว้ก่อนจะลูบศีรษะอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน

“อาเหมยของพ่อ ทำไมถึงได้เดินเข้ามาในป่าลึกเพียงลำพังแบบนี้” ถังเยี่ยถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน

ผู้เป็นพ่อใจหายใจคว่ำเมื่อรู้ว่าลูกสาวหายตัวไป เขารีบออกตามหา โชคดีที่ชาวบ้านนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในนี้ เขากับลูกชายจึงได้รีบเร่งเดินทางเข้ามาตามหา

ดีแค่ใดที่ถังลู่เหมยไม่ถูกสัตว์ป่าทำร้าย บริเวณนี้เป็นที่ชุกชุมของหมูป่าและสัตว์ร้ายอื่นๆ น่าแปลกที่พวกมันไม่ออกมาทำร้ายลูกสาวของเขา ทั้งที่ปกติพวกมันหวงอาณาเขตเป็นอย่างมาก

“เจออาเหมยแล้วก็รีบไปกันเถอะพ่อ อยู่ในป่าลึกดึก ๆ แบบนี้อันตราย ไม่รู้จะมีตัวอะไรโผล่มาหรือไม่” ถังอี้คุณบอกกับผู้เป็นพ่ออย่างกังวลใจ

ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

“ดี ไปกันเถอะ อาเหมยใส่เสื้อไว้นะ” ถังเยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตนเองมาห่มร่างกายของลูกสาวเพื่อคลายความหนาวเย็น

ถังลู่เหมยดีใจที่ได้เจอพ่อกับพี่ชาย เธอเกาะแขนทั้งสองก่อนจะเดินออกจากป่าด้วยท่าทางอารมณ์ดี ผิดกับเมื่อครู่ที่นั่งร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด

หว่านอันถิงมองภาพตรงหน้าอย่างโล่งใจ ก่อนที่เธอนั้นจะตัดสินใจตามทั้งสามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ถึงจะเป็นเพียงวิญญาณแต่เธอก็รู้สึกกลัวบรรยากาศรอบด้านอยู่เหมือนกัน

“พ่อ หิวแล้วนะ หิวแล้ว”

ถังลู่เหมยเงยหน้าก่อนจะใช้มือลูบท้อง พลางยกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงซี่สวย เป็นโชคดีของเธอที่พ่อแม่รักและเอาใจใส่ ทำให้เธอนั้นดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

“ทีหลังอย่าไปไหนเพียงลำพังอีก ไม่อย่างนั้นก็จะต้องทนหิวแบบนี้” ถังอี้คุณบอกเชิงตำหนิน้องสาวเล็กน้อย

หญิงสาวพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย เธอลูบท้องก่อนจะยู่ปากเล็กน้อย หว่านอันถิงที่ติดตามมาด้วยอดสะท้อนใจไม่ได้เมื่อนึกย้อนถึงชีวิตตัวเอง หากเธอมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ เธอคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

“รีบเดินเข้าอาเหมย ป่านนี้แม่คงร้อนใจแย่”

เห็นพี่ชายกำลังหยอกล้อน้องขณะที่เดินทางออกจากป่า ผู้เป็นพ่อจึงได้เอ่ยปากตำหนิ เนื่องจากรอบด้านเต็มไปด้วยอันตราย จะมามัวเดินช้า ๆ อย่างประมาทไม่ได้ เพราะเพียงพริบตาเดียวหากมีสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามาทำร้ายคงจะตั้งรับไม่ทัน ฉะนั้นจึงต้องคอยระแวดระวังอยู่เสมอ

หว่านอันถิงติดตามทั้งสามออกมาจากป่า ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบบริเวณนี้ ที่นี่ดูแปลกตามากจนน่าแปลกใจ แม้กระทั่งการแต่งตัวของผู้คน ก็ยังดูแตกต่างจากยุคสมัยของเธอ บ้านช่องทุกอย่างก็ดูโบราณ ราวกับว่าย้อนกลับมายังยุคสมัยข้าวยากหมากแพง คิดแล้วก็ได้แต่สงสัย ทำไมเทพเจ้าถึงขีดเขียนชะตาให้เธอนั้นได้ย้อนกลับมายังที่แห่งนี้

หญิงสาวยังคงล่องลอยตามสามคนพ่อลูกมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูจากสภาพบ้านแล้ว ครอบครัวนี้คงไม่ค่อยมีฐานะสักเท่าไร แต่ก็นะ จะว่าไปแล้วยุคนี้ คนที่มีฐานะเศรษฐีคงเข้าไปอยู่ในเมืองแล้วล่ะ จะมาทนทำงานกลางทุ่งแบบนี้ทำไม

เมื่อสามคนพ่อลูกกลับมาถึงบ้าน คนเป็นแม่ก็รีบวิ่งเข้ามากอดลูกสาวด้วยความดีใจที่เด็กสาวคนนี้ปลอดภัยกลับมา

“อาเหมยกลับมาแล้ว ลูกได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” คนเป็นแม่ถามออกไปด้วยความกังวลใจ พร้อมกับก็รีบสำรวจร่างกายของลูกสาวทันที เนื่องจากกลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บกลับมา

“แม่ กลัว กลัว” ถังลู่เหมยได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับร้องบอกออกมาเพียงแค่ว่า เธอนั้นกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่พบเจอมา

ซึ่งท่าทางของถังลู่เหมยคล้ายจะคุ้นชินในสาวตาชาวบ้านแล้ว เมื่อเห็นว่าถังลู่เหมยกลับมาโดยปลอดภัย ทุกคนที่ช่วยกันตามหาจึงทยอยกันกลับบ้านของตัวเอง เนื่องจากเวลานี้ก็เริ่มจะมืดค่ำแล้ว

ย่าถังเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกเสียดายที่หลานสาวสติไม่สมประกอบคนนี้ไม่หลงป่าไปเจอสัตว์ร้ายและไม่ถูกสัตว์ทำร้ายจนตายอย่างที่คิด เพราะในใจนั้นภาวนาให้หลานคนนี้ตาย ๆ ไปซะ

ตั้งแต่ที่ถังลู่เหมยเกิดมาแล้วเริ่มมีอาการไปไม่ปกติ ย่าถังก็ตั้งหน้าเกลียดชังบ้านรอง ในใจนั้นคิดว่าหลานสาวคนนี้คือ ‘ตัวกาลกิณี’

พอเห็นว่าชาวบ้านทยอยกันกลับหมดแล้ว ถ้อยคำที่น่ารังเกียจจึงได้ออกมาจากปากหญิงชราคนนี้ทันที

“ช่างตัวไร้ประโยชน์และเป็นภาระคนอื่นเสียจริง ฉันล่ะนึกว่าหล่อนโดนสัตว์ป่าคาบไปกินแล้ว เกิดมาไม่คิดสร้างประโยชน์ มีแต่จะล้างผลาญและสร้างปัญหาให้ตระกูลอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน” ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังยังผุดออกมาจากย่าถัง อย่างที่ไม่คิดว่านี่คือคำด่าหลานสาวตนเอง

หว่านอันถิงที่ได้ฟังก็รับไม่ได้กับคำพูดคำจาของหญิงชราคนนี้ ก่อนจะล่องลอยมายืนอยู่ตรงหน้า และพูดต่อว่าย่าถังกลับไปหลายคำ “ยายแก่ นี่หลานนะไม่ใช่คนข้างบ้าน หมามันยังรักลูกของมัน แล้วนี่อะไร กลับสาปแช่งหลานตัวเองอย่างนั้นเหรอ หึ๊ย!! มันน่านัก”

เวลานี้หญิงสาวโมโหมาก แต่ทว่าถ้อยคำที่เธอพูดไปนั้นกลับไม่เข้าหูย่าถังเลยสักนิดเดียว วิญญาณที่โปร่งแสงอย่างเธอจึงได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ

ส่วนบ้านรองได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป

แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็น และสงสารในโชคชะตาของคนกลุ่มนี้ หว่านอันถิงจึงได้ล่องลอยตามไป แต่พอเจอสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาสี่ชีวิตต้องอยู่รวมกันในห้องเดียวที่เล็กเท่ากับรูหนู

“อยู่กันไปได้อย่างไรห้องแค่นี้ อีกทั้งเด็กสาวคนนี้ก็ยังน่าสงสารอีก เกิดมาสติไม่สมประกอบไม่พอ ยังโดนคนที่ได้ชื่อว่าย่าแท้ๆ แสดงท่าทางรังเกียจ แถมจะหลอกไปให้สัตว์ร้ายกัดตายอีกด้วย เฮ้อ...เป็นฉันหน่อยไม่ได้ ฉันกล้าสาบานเลยว่าจะเอาคืนยายแก่คนนี้จนไม่กล้ามายุ่งกับฉันและครอบครัวอีก” หว่านอันถิงบ่นออกมาดังๆ อย่างไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน

หว่านอันถิงบ่นเสร็จก็ได้ล่องลอยไปดูรอบ ๆ แม้ใจของเธออยากช่วยครอบครัวนี้มากแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น

“พ่อ การที่น้องเดินเข้าป่าในวันนี้ ผมคิดว่าเพราะย่าเป็นคนสั่งให้น้องทำนะครับ พ่ออย่าลืมว่าย่านั้นไม่ได้อยากให้บ้านของเราเลี้ยงน้องตั้งแต่แรก” ถังอี้คุนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เพราะคิดว่าเรื่องนี้อย่างไรก็น่าจะเกี่ยวกับผู้เป็นย่าอย่างแน่นอน

“ลูกอย่าได้พูดเสียงดังไป เรื่องนี้เรารู้กันดีว่าเพราะอะไร” ถังเยี่ยเองใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยแม่ของตน แต่เพราะความว่ากตัญญูมันค้ำคอ เขาจึงต้องยอมกล้ำกลืนฝืนทนตลอดมา

“เมื่อไรเราจะได้แยกบ้านครับพ่อ” ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ควรจะเอาคำนี้ออกมา แต่เมื่อปัญหาหลาย ๆ อย่างมันเริ่มรุนแรงขึ้น หากไม่พูดคงอึดอัดใจแน่

“พ่อเข้าใจแกนะอาคุน แต่พ่อเคยพูดเรื่องนี้กับปู่แกไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าพูดครั้งไหนพ่อก็ถูกด่ากลับมาทุกครั้ง แกก็รู้ คงต้องรอให้มีแต่คนรุ่นพ่อแล้วละมั้ง จากนั้นถึงจะสามารถแยกบ้านได้” ถังเยี่ยใช่ว่าไม่อยากแยกบ้าน แต่เพราะหลาย ๆ อย่างทำให้ไม่สามารถได้ และที่สำคัญ ความกตัญญูที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งพ่อกับแม่ได้เลย

คงมีเพียงบ้านถัง ที่ยังไม่มีลูกคนไหนที่ได้แยกบ้าน!!

ภาพการพูดคุยของสองพ่อลูกจากบ้านรองถังอยู่ในสายตาของหว่านอันถิง หญิงสาวรู้สึกถึงสงสารในชะตากรรมของครอบครัวนี้ และรู้สึกหงุดหงิดที่ผู้เป็นพ่อของบ้านนี้ดูจะอ่อนแอไปหน่อย หากกล้าแข็งข้อ ไม่แน่ว่าการแยกบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

“เฮ้อ...ถ้าเป็นครอบครัวฉันหน่อยไม่ได้ จะหาเรื่องจนทำให้ต้องแยกบ้านเลยล่ะ” หว่านอันถิงแต่ก็ได้แค่บ่นออกมาเท่านั้น เพราะเวลานี้เธอเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น

หว่านอันถิงยังคงล่องลอยดูครอบครัวนี้ ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนมาสอดส่องเรื่องครอบครัวของคนอื่น แถมยังคนละยุคที่เธออยู่อีกต่างหาก

สองพ่อลูกต่างไม่มีใครพูดอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเช่นทุกวัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel