บทที่ 4 วิญญาณเร่ร่อน
บทที่ 4 วิญญาณเร่ร่อน
กลับมายังโลกปัจจุบัน มาเฟียหนุ่มแทบคลุ้มคลั่งเมื่อเห็นว่าไฟล์ลับที่เขาเก็บไว้ถูกส่งไปยังสำนักงานตำรวจเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมกับมองร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้อง
เขามองที่ร่างของหญิงสาวที่เป็นต้นตอของปัญหาอย่างไม่พอใจ แม้ว่าเขาจะกำจัดเธอได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นภารกิจที่เธอทำก็สำเร็จเช่นกัน ทำให้ความแค้นในใจของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ตำรวจเหล่านั้นจะต้องบุกมาที่นี่อย่างแน่นอน เขาจึงได้เตรียมตัวหนีด้วยการกวาดข้าวของที่สำคัญลงกระเป๋า รวมทั้งทรัพย์สินที่เก็บไว้ในเซฟ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังร้อนรนอยู่นั้น เขาไม่รู้เลยว่าวิญญาณของหว่านอันถิงกำลังยืนมองอยู่ หญิงสาวก้มมองร่างโปร่งแสงของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อสายตาว่าโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริง
“ตำรวจพวกนั้นทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบมาจับกุมล่ะ เดี๋ยวเขาก็หนีไปหรอก”
หญิงสาวรู้สึกร้อนใจกลัวว่ามาเฟียหนุ่มจะหนีไปได้สำเร็จ เธอล่องลอยไปมา ก่อนจะโผล่หน้าออกไปนอกประตู แต่เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนในชุดเครื่องแบบที่คุ้นเคยกำลังมุ่งตรงมาทางนี้เธอก็เบาใจ
หญิงสาวเฝ้ามองการจับกุมอย่างใกล้ชิด แม้ว่าเธอจะต้องเสียสละชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีใจที่สามารถกวาดล้างมาเฟียหนุ่มผู้เป็นต้นตอใหญ่ของปัญหาในสังคมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ได้
เขาทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง ทั้งลักลอบนำเข้ายาเสพติด กระจายยาเหล่านั้นไปทั่วทุกตรอกทุกย่าน แม้แต่เด็กก็สามารถเข้าถึงยานรกนั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นเหตุผลที่สำนักงานตำรวจหันมาจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหานี้มากขึ้น
เพราะเมื่อจำนวนผู้เสพสารเสพติดพุ่งขึ้นสูงมากเท่าไร การก่ออาชญากรรมก็มากขึ้นเท่านั้น ทำให้ตำรวจนั้นต้องรีบกวาดล้างต้นตอของปัญหา นั่นก็คือผู้ค้ายาเสพติดที่เป็นบ่อนทำลายชาติ
แต่นอกเหนือจากยาเสพติดแล้ว เขายังลักลอบค้ามนุษย์อีกด้วย มีหญิงสาวหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกลวง ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกส่งไปขายยังต่างประเทศ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
หว่านอันถิงมองผลงานที่น่าภูมิใจของตนเอง ขณะที่เธอนั้นกำลังยืนหันหลังจากไปก็ได้ยินเสียงสะอื้นของใครบางคนดังขึ้น เมื่อหันกลับไป ก็พบว่าเป็นหัวหน้าของเธอที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าศพของเธอ โดยมีเพื่อนร่วมงานยืนก้มหน้าไว้อาลัย
หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา ทุกคนดูเศร้าใจกับการจากไปของเธอ ทั้งก่อนหน้านี้พวกเขาแทบไม่ต้อนรับและมักจะผลักไสไล่ส่งเธอออกจากสำนักงานอยู่เสมอ
“พวกเราจะจดจำหว่านอันถิงในฐานะวีรสตรีผู้เสียสละเพื่อประเทศชาติ ไปกันเถอะ กลับสำนักงานด้วยกัน” หัวหน้าของหญิงสาวเป็นตัวแทนทุกคนพูดกับหว่านอันถิง
ทุกคนลุกขึ้นก่อนโค้งคำนับให้ร่างไร้วิญญาณ ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะถูกยกออกไป หว่านอันถิงรู้สึกซาบซึ้งใจ ที่อย่างน้อยทุกคนก็ยังยกย่องเชิดชูในความดีของเธอ หญิงสาวไม่รู้สึกเสียดายชีวิตเลยแม้แต่น้อย แม้ตอนนี้จะเป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
หว่านอันถิงติดตามหัวหน้ากลับมาที่สำนักงานตำรวจ ทุกคนเดินทางไปยังพิธีศพของเธอซึ่งจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมเกียรติ
“ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่ยังคงนึกถึงฉัน ลาก่อน”
หญิงสาวพึมพำก่อนที่เธอนั้นจะหันหลังตั้งใจจะเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง หว่านอันถิงไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร จะมีใครมารับเธอเหมือนในละครหรือไม่ แต่หากต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนเธอก็จะขอใช้ชีวิตในโลกหลังความตายต่อไป
หญิงสาวเดินมาหยุดยืนที่ริมแม่น้ำ ร่างของเธอโปร่งแสงลอยไปลอยมา สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้ากวาดมองผู้คนที่นั่งอยู่บริเวณนี้
หว่านอันถิงเกิดแล้วเติบโตโดยไร้พ่อแม่ญาติพี่น้องคอยอุ้มชูดูแล เธอรู้สึกโดดเดี่ยวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่ ทำให้เธอนั้นมักจะใช้ชีวิตประมาท ชอบนำพาชีวิตตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสมอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านไป ผมยาวสลวยของอีกฝ่ายปลิวไปตามสายลม แต่หว่านอันถิงกลับไม่รู้สึกถึงความเย็นที่พัดผ่านร่างกายเธอไปเลย
ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ เธอก็เห็นแสงสว่างบางอย่างกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ หญิงสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะจดจ้องไปยังสิ่งนั้น เพียงครู่เดียวมันก็พุ่งกระแทกตัวเธอจนกระเด็นลอยไปไกล
หว่านอันถิงตกลงบนพื้น แต่เพราะร่างเธอเป็นเพียงวิญญาณที่โปร่งแสงทำให้ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เพียงแต่สติสัมปชัญญะเหมือนถูกเขย่าจนเลอะเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง
“อะไรเนี่ย ที่นี่ที่ไหน!”
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ในนี้เป็นป่าลึก อีกทั้งยังมืดสนิท มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้พอมองเห็นรางๆ
หว่านอันถิงหรี่ตามองไปยังเบื้องหน้า เห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ไม่ไกลจึงได้เดินเข้าไปใกล้ เธอเอื้อมมือไปตั้งใจจะแตะไหล่อีกฝ่าย แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่สามารถสัมผัสตัวของหญิงสาวผู้นี้ได้
หว่านอันถิงถอยออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอนั้นจะย่อกายนั่งลงข้าง ๆ อีกฝ่ายที่กำลังนั่งตัวสั่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว
“เเม่ พ่อ พี่ ฉันกลัว ฉันกลัว”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ แต่ครู่หนึ่งก็คล้ายสติแตก เธอลุกขึ้นก่อนจะกระทืบเท้าและแหกปากร้องเสียงดัง จนหว่านอันถิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายอยากพิจารณา ก่อนสังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ดูไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก สายตาอีกฝ่ายกลอกไปมา ทั้งยังไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุ้มดีคุ้มร้ายจนดูน่าหวาดหวั่น
“ทำไมคนสติไม่ดีถึงได้มาอยู่กลางป่าแบบนี้”
หว่านอันถิงมองก็พอรู้ว่าอีกคนเป็นคนสติไม่ดี เธอคิดไปต่าง ๆ นานา ก่อนจะสรุปว่าอีกฝ่ายน่าจะหลงทาง หรือไม่ก็คงจะพลัดหลงกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง เพราะโดยปกติแล้วคงไม่มีใครปล่อยหญิงสติไม่ดีเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพัง
แต่สิ่งที่ทำให้หว่านอันถิงรู้สึกงุนงงมากกว่านั้น คือทำไมเธอถึงได้โผล่มาที่นี่ และดูจากการแต่งตัวของคนตรงหน้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แม้ในป่าใหญ่แห่งนี้เธอยังรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากยุคสมัยของเธอ
หว่านอันถิงลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเดินมา มองคนตรงหน้าที่เริ่มสงบลง ก่อนจะนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่ที่พื้นเช่นเดิม
อากาศเริ่มเย็นลง ทำให้ถังลู่เหมยรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก เธอนั่งตัวสั่นปากซีด ทำให้หว่านอันถิงรู้สึกเป็นห่วง แม้จะเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เธอก็ทนเห็นอีกฝ่ายทรมานไม่ได้ หญิงสาวลอยไปลอยมา ตั้งใจว่าจะหาของบางอย่างเพื่อมาบรรเทาความหนาวให้อีกฝ่าย แต่ในป่าลึกแห่งนี้ก็หาสิ่งของเหล่านั้นได้ยากยิ่ง
“ฮือ หนาว”
ถังลู่เหมยพูดออกมาเบา ๆ เธอปากซีดลงเรื่อย ๆ ด้วยความที่เกิดมาไม่ปกติตั้งแต่แรก ทำให้ร่างกายนั้นอ่อนแอกว่าผู้คนทั่วไป หญิงสาวล้มตัวนอนลงบนใบไม้ ก่อนจะขดตัวและกอดขาเอาไว้แน่น
“แม่ หนาว หนาว”
หญิงสาวพึมพำก่อนจะหลับตาลง
หว่านอันถิงที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บใจที่ช่วยเหลืออะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย เธอลอยไปลอยมาไม่อาจนิ่งเฉย ก่อนที่จะได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง
“อาเหมย!”
เสียงตะโกนดังขึ้น แต่เพราะเป็นเสียงของผู้ชาย ทำให้หญิงสาวนั้นหันมองอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับหญิงสติไม่ดีผู้นี้
“อาเหมย เธออยู่ไหน”
ถังอี้คุณตะโกนเรียกน้องสาวเสียงดังสนั่นลั่นป่า หวังให้ถังลู่เหมยได้ยินเสียงเขาแล้ววิ่งถลาเข้ามาหา หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงนั้นก็รีบเด้งตัวลุกขึ้นมา ก่อนที่เธอจะตะโกนเรียกพ่อและพี่ชายเสียงดัง
“พี่ พ่อ ฉะ ฉัน อยู่ตรงนี้นะ อยู่ตรงนี้!”
