บทที่ 3 หญิงบ้าของบ้านถัง
บทที่ 3 หญิงบ้าของบ้านถัง
“นังลู่เหมย ทำไมเนื้อตัวเปียกแบบนี้ หล่อนแอบหนีไปเล่นน้ำอีกแล้วใช่ไหม”
หญิงชราที่เห็นว่าหลานสาวนั้นเดินตัวเปียก ผมแห้งลีบติดศีรษะ ก็เข้าใจว่าถังลู่เหมยนั้นคงแอบไปเล่นน้ำอยู่แน่ ๆ ถึงได้กลับมาช้า นางตวาดถามออกไปก่อนจะคว้าไม้ยาวมาฟาดไปที่ก้นหลานสาว หญิงสาวร้องลั่นวิ่งหนีไปโดยทิ้งผลท้อลงพื้น ก่อนจะไปหลบอยู่หลังพี่ชายที่เดินออกมาพอดี
“เจ็บ เจ็บ ย่าตี”
หญิงสาวชี้ไปที่หญิงชรา ก่อนใช้ฝ่ามือตบที่หลังพี่ชายและพูดคำเดิมย้ำ ๆ พลางลูบก้นป้อย ๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกย่าตี ความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวรู้สึกโกรธ ด้วยความที่สติไม่สมประกอบแม้เธอจะเป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นในบางครั้งก็คลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้
ถังลู่เหมยย่อตัวลง ก่อนที่เธอนั้นจะคว้าก้อนหินก้อนเล็กมาถือไว้และโยนใส่หญิงชรา
“นังลู่เหมย เดี๋ยวเถอะนะ!”
ด้วยความโมโหที่ถูกปาก้อนหินใส่ ผู้เป็นย่าจึงเดินตรงเข้าหา พร้อมกับง้างไม้มาแต่ไกล แต่โชคดีที่ชายหนุ่มขวางเอาไว้ ทำให้หญิงชรานั้นไม่กล้าลงไม้ลงมือไปมากกว่านี้
“หลบไป ฉันจะสั่งสอนเด็กนิสัยเสีย!” ย่าถังพูดกับหลานชายที่ยืนขวางทางอยู่
“ย่าพอเถอะ อาเหมยไม่ได้แอบไปเล่นน้ำ ลืมไปแล้วเหรอว่าย่าเป็นคนใช้ให้อาเหมยไปจับปลา”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย เดิมทีย่าของเขารังเกียจน้องสาวอยู่แล้ว และเมื่ออายุมากขึ้นก็เริ่มหลง ๆ ลืม ๆ บางทีพูดหรือทำอะไรไว้ก็จำไม่ได้
หญิงชราทำท่าทางนึกแล้วถามกลับมา “ฉันให้ไปจับปลาเหรอ”
“ใช่แล้ว ย่าให้อาเหมยไปจับปลา อาเหมยก็เลยลงไปในน้ำเพื่อจับปลาอย่างที่ย่าสั่งอย่างไรเล่า จำได้ไหม” ถังอี้คุณตอบกลับคนเป็นย่ากลับไป
เขาเห็นว่าถังลู่เหม่ยไม่ได้ทำอะไรผิด จึงได้ปกป้องน้องสาวเต็มที่ ผู้เป็นย่าครุ่นคิด นางจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งยืนกรานว่าไม่ได้เป็นคนสั่งให้หญิงสาวไปจับปลาอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้าง
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ให้น้องชายแกไปจับปลา แกต้องการจะปกป้องมัน ถึงได้ปั้นเรื่องว่าฉันเป็นคนสั่งใช่ไหม”
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอธิบายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟัง ย่าของเขาดื้อดึงยิ่งกว่าใคร หากได้เกลียดใครแล้วก็เกลียดจนฝังใจ แม้ว่าตอนนี้จะเลอะเลือนไปบ้างแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ยังจำได้ว่าเกลียดถังลู่เหมยมากแค่ไหน
“อาเหมย ไปอาบน้ำไป”
ถังอี้คุณตัดปัญหาด้วยการไล่น้องสาวให้แยกไปอีกทาง ส่วนเขาก็จับจูงผู้เป็นย่าเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนาทำให้อีกฝ่ายนั้นลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียสนิท
อาการหลง ๆ ลืม ๆ ของหญิงชราเป็น ๆ หาย ๆ มานานนับปี ซึ่งบางครั้งก็จดจำได้ทุกสิ่ง แต่บางครั้งก็ลืมเลือน ในวันนี้นางกลับมาเป็นปกติ จึงได้ครุ่นคิดแผนการบางอย่างและเรียกใช้งานหลานสาวอีกครั้ง
“อาเหมย เอาตะกร้านี้ไปนะ เข้าไปเก็บผักในป่ามาให้ฉัน อ้อ! เข้าไปในป่าลึก ๆ หน่อยนะจะได้มีผักป่าเยอะ ๆ เข้าใจไหม”
ถังลู่เหมยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ขณะที่มือนั้นก็ยังคงถือผลท้ออยู่ไม่ยอมปล่อย
“ผักอะไร ทำอะไร” หญิงสาวเอ่ยถาม พร้อมกับสายตากลอกไปมา เธอแทบไม่ได้จับจ้องไปทางหญิงชราเลยแม้แต่น้อย จึงไม่เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของหญิงชราตรงหน้า
“ผักที่จะต้มให้หมู เข้าไปหาในป่าลึก เข้าใจไหม” ย่าถังกำชับหลานสาวอีกครั้งว่าให้เข้าไปในป่าลึก ๆ
“ได้ ได้ เก็บผักให้หมู” ถังลู่เหมยพยักหน้ารับ เธอไร้เดียงสาเกินกว่าจะรู้ว่าย่าแท้ ๆ นั้นคิดร้ายต่อเธอ มือบางยกตะกร้าก่อนจะเดินออกจากบ้าน และตรงเข้าไปในป่าใหญ่เพียงลำพัง
ย่าถังมองตามก่อนที่จะเหยียดยิ้มและเอนกายนอนลงอย่างสบายใจตรงม้านั่งหน้าบ้าน
“ฐานะที่บ้านยากจนข้นแค้น ทุกวันนี้แทบไม่พอกิน เพราะต้องเฉลี่ยอาหารให้กับสมาชิกทุกคน แต่หากกำจัดถังลู่เหม่ยไปได้ ตัวหารก็จะลดน้อยลง ถึงเวลานั้นทุกคนในครอบครัวก็จะได้กินอิ่มกินเต็มมากขึ้น ฉันทำเพราะหวังดีกับทุกคนนะ” ย่าถ้งพูดขึ้นมาอย่างสบายใจ ในใจนั้นมุ่งมั่นว่าวันนี้ต้องกำจัดหลานสาวจากบ้านรองให้ได้ นางทำราวกับหวังดีกับคนในบ้าน แต่ลึก ๆ ในใจต้องการที่จะกำจัดหลานสาวผู้นี้เท่านั้น
ภายในป่า... ถังลู่เหมยสอดส่องสายตามองหาผักที่ผู้เป็นย่าต้องการแต่เมื่อไม่เจอ เธอก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น โดยไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบด้านที่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
“อยู่ไหน ผัก อยู่ไหน”
หญิงสาวพึมพำออกมา เธอก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปลึกเรื่อย ๆ เมื่อเจอผักที่ต้องการเธอก็ก้มลงก่อนจะกระหน่ำดึงมาใส่ตะกร้าจนพูน
ถังลู่เหมยรู้สึกเหนื่อยจึงได้นั่งลงใต้ต้นไม้ เห็นผลผิงกัวตกอยู่ข้างกาย จึงรีบคว้ามากัดกินด้วยความหิวโหย
หลังจากกินอิ่มก็ลุกขึ้นและเดินย้อนกลับทางเดิม แต่ถังลู่เหมยไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของเธอนั้นไกลออกไปเรื่อย ๆ แล้ว เธอก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อให้ถึงบ้าน แต่ไม่ว่าจะเดินมานานแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็กลับมาอยู่จุดเดิม
หญิงสาวเริ่มงุนงงสับสน เธอเรียกหาพ่อแม่และพี่ชาย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอจึงทรุดตัวนั่งลงร้องไห้ด้วยความกลัว สองแขนเรียวเล็กโอบกอดตัวเองในขณะที่น้ำตานั้นไหลอาบแก้ม
“พ่อ แม่ พี่” หญิงสาวเรียกพ่อแม่และพี่อย่างคนหวาดกลัว พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
เสียงร้องไห้และเสียงเรียกพ่อแม่พี่ชาย เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หมูป่าที่ปักหลักอยู่แถวนั้นได้ยินและเดินมาด้อม ๆ มอง ๆ ด้วยความสนใจ หญิงสาวเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้ เธอคิดว่าเป็นพี่ชายจึงได้เดินเข้าไปใกล้ ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงอันตรายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ถังเยี่ยและเหนียงฟางเดินออกมาจากป่า ซึ่งอยู่คนละฝากฝั่งกับป่าลึกที่ถังลู่เหมยเพิ่งเดินทางเข้าไป ทั้งสองขุดเผือกมาได้หลายหัว จึงตั้งใจจะนำมาอวดลูกสาว แต่ทว่าเมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านกลับไม่พบอีกฝ่าย
“แม่ อาเหมยไปไหน” เมื่อเห็นว่าแม่สามีนั่งอยู่หน้าบ้านจึงได้เอ่ยถามถึงถังลู่เหมยลูกสาวตัวเอง
“ไม่รู้สิ คงจะออกไปเที่ยวเล่นล่ะมั้ง”
เพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองพบเจอหลานสาว ย่าถังจึงได้โกหกออกไป อีกทั้งยังหาเรื่องรั้งลูกชายและลูกสะใภ้ไว้ด้วยการชวนคุยเรื่องอื่นแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะทั้งสองนั้นเป็นห่วงลูกสาวมาก จึงได้รีบออกตามหาเนื่องจากเห็นว่าฝนกำลังจะตก
หญิงชรารู้สึกขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นางภาวนาขอให้หลานสาวถูกสัตว์ป่าลากไปกิน หรือไม่ก็ประสบเหตุร้ายจนสูญสิ้นชีวิต จะได้ไม่ต้องกลับมาเป็นภาระของครอบครัวอีก
เหนียงฟางแยกกับสามีเพื่อตามหาลูกสาว ทั้งสองเดินไปคนละทิศทาง ก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อหวังจะได้พบถังลู่เหมย
“เห็นลู่เหมยบ้างหรือไม่” เธอเอ่ยถามกลุ่มเด็กที่กำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยอยู่ใต้ต้นไม้ แต่พวกเขากลับส่ายหน้า เพราะวันนี้ทั้งวันยังไม่เจอถังลู่เหมย พอรู้สึกกังวลใจมากขึ้น ปกติแล้วลูกสาวของเธอไม่เคยเดินทางไปไหนไกล มักจะวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น แต่วันนี้กลับต่างออกไป
ด้านถังเยี่ยก็รู้สึกเป็นกังวลไม่แพ้กัน เขากลัวว่าจะมีคนล่อลวงลูกสาวไปทำเรื่องไม่ดี เพราะแม้ว่าถังลู่เหมยจะเป็นคนสติไม่ดี แต่เธอก็มีใบหน้าที่งดงาม
เวลาผ่านไปสองสามีภรรยาเดินวนกลับมาพบกันที่จุดนัดหมาย ก่อนที่ทั้งสองนั้นจะตัดสินใจออกตามหาด้วยกันอีกครั้ง ขณะที่กำลังเดินตามหาลูกสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นั้น ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่เขาจะชี้เข้าไปในป่าและเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันเห็นอาเหมยเดินเข้าไปในป่าน่ะ ฉันกำลังจะเดินไปบอกเธอพอดี”
“จริงเหรอ” เหนียงฟางปรากฎรอยยิ้มบนใบหน้าขั้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าลูกสาวนั้นไปยังทิศทางไหน
ขณะนั้นถังอี้คุณที่ช่วยพ่อแม่ออกตามหาน้องสาวก็เดินเข้ามาสมทบ ก่อนที่เขากับผู้เป็นพ่อจะตัดสินใจเดินเข้าป่าไปด้วยกัน
“เธอกลับไปรอที่บ้านนะเผื่อว่าอาเหมยจะกลับไปบ้าน ฉันเข้าป่าไปตามหาลูกแล้วจะรีบกลับมา” ถังเยี่ยเอ่ยกับภรรยา ก่อนที่เขากับลูกชายจะรีบเร่งเดินทางเข้าป่าทันที
ส่วนเหนียงฟางก็เดินทางกลับบ้านเพื่อรอฟังข่าว เธอนั่งไม่ติดได้แต่เดินไปเดินมา เพราะรู้สึกเป็นห่วงถังลู่เหมยอย่างมาก
หญิงชราเองก็รู้สึกกังวลใจไม่แพ้กัน นางกลัวว่าหากถังลู่เหมยกลับมา อีกฝ่ายจะปากโป้งบอกความจริงกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่าเธอเป็นคนบังคับให้เข้าไปเก็บผักในป่าลึก
