บทที่ 6 ไม่สนใจ
บทที่ 6 ไม่สนใจ
เฉินซูเม่ยหลังจากที่สระผมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับพนักงานคนเดิม เธอทำทีไม่สนใจหญิงสาวที่กำลังทุ่มเถียงอยู่กับเจ้าของร้านแห่งนี้
แม้จะไม่สนใจแล้วก็ตาม แต่ก็ถูกคุณหนูว่านผู้นี้เดินเข้าหาเรื่องจนได้
“หล่อนเองสินะที่มาแย่งคิวของฉันไป ไร้มารยาทสิ้นดี” ว่านถิงพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดและไม่พอใจ ก่อนจะแสยะยิ้มเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านี่คือลูกสาวบุญธรรมจากตระกูลเฉินนั่นเอง
เฉินซูเม่ยที่ถูกต่อว่าก็ไม่พูดอะไร เธอทำเพียงมองอีกฝ่าย ด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนกับใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“ฉันก็นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็นเฉินซูเม่ย ลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเฉินที่ไม่มีใครต้องการนี่เอง” ว่านถิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง
เฉินซูเม่ยได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยกไหล่เล็กน้อยคล้ายกับไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่คนเดิมแล้ว จะมานั่งใส่ใจกับคำพูดคนอื่นทำไมกัน พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบและไม่โต้แย้ง ว่านถิงก็รู้สึกได้ใจขึ้นมา จึงพูดมาอย่างไม่คิดจะไว้หน้า
“เป็นแค่ลูกบุญธรรมที่ไม่มีใครต้องการ คิดจะมาแข่งกับลูกตัวจริงอย่างนั้นเหรอ ช่างกล้าเสียเหลือเกิน”
“ถ้าฉันคิดจะแข่ง แล้วมันหนักส่วนไหนของร่างกายเธอไม่ทราบ แล้วเธอแน่ใจเหรอว่าตนเองเป็นที่ต้องการของทุกคน” จากที่คิดว่าจะไปทำผมต่อเงียบ ๆ แต่เมื่อถูกระรานไม่หยุด เฉินซูเม่ยก็อดไม่ได้จนต้องพูดสวนออกมาอย่างไม่พอใจเหมือนกัน
‘ร่างเก่านั้น ฉันไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนอย่างไร แต่ฉันคือเฉินซูเม่ยคนใหม่ ที่ไม่คิดจะแย่งชิงอะไรกับนางเอกของเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดจาแบบนี้ใส่ จริงสิ เหมือนฉันจำได้ว่าคุณหนูว่านคนนี้จะเป็นเพื่อนรักกับเฉินเมิ่งหรานสินะ มิน่าล่ะนิสัยถึงเหมือนกัน น่าเบื่อเสียจริง’
หญิงสาวพูดโต้กลับไปแล้วก็นั่งคิดอยู่ในใจ
“นี่หล่อนกล้ายอกย้อนฉันเหรอ” ว่านถิงที่ถูกสวนกลับก็รู้สึกโมโหมากขึ้น เธอชี้หน้าอีกฝ่ายและกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายกล้ายอกย้อนตนเอง
“แล้วแต่เธอจะคิดเถอะคุณหนูว่าน ฉันจะไปไดร์ผมแล้วเถียงกับเธอช่างไร้สาระและเสียเวลาจริง ๆ เลย”
พูดจบก็เดินไปนั่งให้หลันเอ๋อร์ไดร์ผมให้ โดยที่ไม่สนใจคุณหนูว่านคนนี้อีก
ส่วนว่านถิงเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็สะบัดหน้าเดินออกจากร้านไปด้วยความไม่พอใจ ทุกคนในร้านมองตามเธอด้วยความขบขันและพอใจที่มีคนกล้าต่อกรกับคุณหนูว่านคนนี้
ย้อนกลับมาที่หานเฟิงหลง วันนี้ชายหนุ่มได้มาตรวจกิจการที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็ขึ้นไปยังชั้นบนสุดเพื่อที่ไปห้องทำงานของตนเองโดยมีคนสนิทติดตามมาด้วย
“ผลกำไรของเดือนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่
“ดีขึ้นกว่าเดือนที่แล้วหลายส่วนครับเจ้านาย” หวงตงหมิงลูกน้องคนสนิทของชายหนุ่มยืนรายงานอย่างสุภาพ
“บอกพนักงานของเรานะว่าหากผลประกอบการดีขึ้น ฉันจะมีเงินพิเศษให้ทุกคน” ชายหนุ่มเงยหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เขาไม่ใช่คนคิดมากเรื่องการที่จะให้เงินพิเศษสำหรับพนักงาน เพราะนี่จะเป็นกำลังใจให้ทุกคนขยันทำยอดขายให้มากกว่าเดิม
“ครับเจ้านาย” หวงตงหมิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในใจนั้นรู้สึกยินดีเหมือนกัน เพราะพนักงานได้เงินพิเศษ เขาก็ต้องได้เช่นเดียวกัน ก็เขาเป็นพนักงานของห้างเหมือนกันนี่
“เอ๊ะ..นี่มีเรื่องร้องเรียนจากร้านค้านิ” ชายหนุ่มที่กำลังเปิดเอกสารดูถึงกับขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีเรื่องร้องเรียนของร้านค้าว่ามีการวางสินค้าล้ำเส้นกัน
“ให้ผมไปเรียกผู้จัดการห้างมาให้ไหมครับเจ้านาย”
หวงตงหมิงรีบถามทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะเรื่องนี้เขายังไม่ได้รับรายงานมา ในใจนั้นก็หวาดหวั่นเหมือนกันว่า นายท่านกับนายหญิงจะทราบเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นของตระกูลหาน ซึ่งคนที่เป็นใหญ่ที่สุดก็คือนายท่านหานและนายหญิงหาน
“ลองไปเรียกมาสอบถามดูหน่อยก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้มีการรายงานไปยังคุณแม่และคุณพ่อหรือยัง” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาไม่อยากให้เรื่องยิบย่อยแบบนี้ไปถึงหูพ่อกับแม่ เพราะอาจจะทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจเสียเปล่า ๆ
“ครับเจ้านาย” คนสนิทหวงตอบรับแล้วรีบเดินออกมาจากห้องเพื่อไปตามผู้จัดการห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มา
ส่วนหานเฟิงหลงก็ยังวุ่นอยู่กับเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า เนื่องจากนาน ๆ ครั้งเขาถึงจะเข้ามาตรวจกิจการที่นี่สักที แม้ว่าจะเป็นคนดูแลกิจการของครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็มีกิจการส่วนตัวเหมือนกัน ซึ่งก็มีมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหลายแห่ง กาสิโน และกิจการร้านค้าอีกมากมาย รวมไปถึงอพาร์ทเมนท์ปล่อยเช่าด้วย
คนภายนอกที่ไม่รู้จักชายหนุ่มดี มักจะคิดว่าเขาร่ำรวยเพราะครอบครัว เนื่องจากตระกูลหานนั้นร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหานทั้งนั้น เนื่องจากตระกูลนี้มีลูกชายเพียงคนเดียว
ไม่นานผู้จัดการห้างสรรพสินค้าก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อมกับคนสนิทของหานเฟิงหลง
“คุณชายมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้ให้คนสนิทหวงไปตามผมมา” ผู้จัดการห้างสรรพสินค้าเมื่อเข้ามาเจอหน้าเจ้านาย จึงได้รีบถามขึ้นอย่างร้อนรน โดยปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร เจ้านายหนุ่มคนนี้ไม่มีทางเรียกเขามาพบอย่างกะทันหันแบบนี้แน่นอน
“มีเอกสารร้องเรียนขึ้นมา คุณได้ดูบ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม เพราะดูจากท่าทีแล้วผู้จัดการคงจะไม่รู้เรื่องนี้
“ผมยังไม่ได้รับแจ้งเลยครับว่ามีการร้องเรียนเกิดขึ้น” ผู้จัดการหน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดว่าความซวยจะตกหล่นใส่หัวตนเอง ในวันที่เจ้านายหนุ่มเข้ามาตรวจกิจการแบบนี้
“งั้นก็รู้ซะ แล้วคุณรีบไปจัดการก็แล้วกัน ผมจะเดินไปตรวจร้านค้าเสียหน่อย หวังว่าจะไม่มีใครร้องเรียนตอนผมไปตรวจนะ” หานเฟิงหลงพูดขึ้นพร้อมกับส่งเอกสารร้องเรียนให้ผู้จัดการ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ทำงานของตนเองและเดินออกมาจากห้อง โดยไม่มองหน้าผู้จัดการเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเริ่มเดินตรวจห้างสรรพสินค้าไปเรื่อย ๆ เขาใช้เวลานานพอสมควรเพราะหลายวันแล้วที่ไม่ได้เข้ามาที่นี่ ระหว่างนั้นเขาก็เห็นทั้งข้อเสียและข้อดีของร้านค้าต่าง ๆ พร้อมจดจำไว้ในใจ มีบางครั้งที่เขาบอกให้คนสนิทว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
ชายหนุ่มเดินตรวจมาถึงร้านเสริมสวยร้านหนึ่งก็ชะงักเท้าลงทันที เพราะสายตาของเขาพลันเห็นเฉินซูเม่ยอยู่ในนั้น
ภาพที่ชายหนุ่มเห็นคือเธอกำลังทะเลาะกับใครบางคนอยู่ จะว่าทะเลาะก็ไม่เชิง แต่ดูเหมือนจะเป็นการถกเถียงกันมากกว่า จึงทำให้ชายหนุ่มทำเพียงยืนมองเฉย ๆ เพราะดูเหมือนว่าเฉินซูเม่ยไม่ได้เพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่าย และดูเหมือนว่าเธอสามารถจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ
“ไม่เข้าไปช่วยคุณหนูใหญ่เฉินเหรอครับ”
หวงตงหมิงถามขึ้นเบา ๆ เพราะเขารู้ว่าเจ้านายนั้นมีใจให้กับบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉิน แต่ทว่านายหญิงไม่ยินดีที่จะให้ทั้งสองรักกัน เนื่องจากว่าคุณหนูใหญ่เฉินนั้นเป็นเพียงลูกบุญธรรมของตระกูลเฉิน เรื่องนี้ทำให้ให้คุณชายของเขาช้ำใจมาตลอด เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างมารดากับคนรัก
“ไม่ล่ะ นายไม่เห็นเหรอว่าซูเม่ยของฉันเป็นต่ออีกฝ่าย ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นคือใครเหรอ” หานเฟิงหลงตอบกลับไปโดยสายตาไม่ละไปจากหญิงคนรัก เขาเลือกที่จะไม่เข้าไปห้ามเพราะไม่มีความจำเป็น แต่สงสัยว่าหญิงสาวที่ทะเลาะกับคนรักของตัวเองนั้นเป็นใคร
“น่าจะเป็นคุณหนูรองว่านที่ชื่อว่านถิงนะครับ” หวงตงหมิงชะโงกมองเข้าไปดูในร้านอีกรอบแล้วตอบกลับมา เท่าที่เขาจำได้ หญิงสาวคนนั้นน่าจะเป็นลูกคนรองของตระกูลว่าน แล้วนิสัยของเธอคือ...
“ตระกูลว่านซื้อสินค้าจากฉันหรือเปล่า รวมถึงได้ใช้บริการขนส่งทางน้ำของฉันด้วยไหม” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ความหมายของชายหนุ่มหมายถึงกิจการของตัวเอง ที่นายท่านเจ้าของกิจการยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังมีนิสัยโหดเหี้ยมอีก
“ครับ” หวงตงหมิงตอบไปเพียงสั้นๆ แล้วยืนไว้อาลัยให้กับตระกูลว่านเล็กน้อย เพราะหากเจ้านายของเขาถามแบบนี้ แสดงว่าตระกูลว่านถูกตัดขาดและงดให้ความช่วยเหลือแล้วแน่ ๆ
“ตัดเส้นทางการค้าของตระกูลว่านทุกช่องทาง” ชายหนุ่มออกคำสั่งเสียงเรียบนิ่ง ทว่าสายตานั้นเป็นประกายเมื่อมองไปทางหญิงคนรัก
“ครับนายท่าน” หวงตงหมิงตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงยืนสงบนิ่งอยู่ข้างเจ้านาย
