ทะลุมิติมาเป็นนางร้ายที่ได้หัวใจพระเอกไปครอง ยุค 80

94.0K · จบแล้ว
sanvittayam
39
บท
11.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คำโปรย เฉินซูเม่ยคิดว่าการเป็นนางร้ายก็ไม่ได้แย่นะ เพราะเธอสามารถเปลี่ยนชะตาของนางร้ายในนิยายเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง และไม่สนว่านี่คือนิยายหรือเรื่องจริง ขอแค่มีความสุขและได้อยู่กับคนที่รักก็พอแล้ว เรื่องย่อ ทะลุมิติมาเป็นนางร้ายที่ได้หัวใจพระเอกไปครอง กรกชนางร้ายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย กำลังอินกับนิยายที่เพื่อนสนิทแนะนำให้อ่าน พออ่านแรก ๆ ก็ยังเข้าข้างนางเอกของเรื่องเพราะถูกพี่สาวอย่างนางร้ายกระทำมาตลอด แต่พออ่านไปอ่านมากลับเข้าข้างนางร้ายเสียนี่ สรุปแล้วกชกรอ่านไม่จบเพราะต้องรีบไปถ่ายละครฉากสุดท้าย ซึ่งเป็นฉากที่นางร้ายในเรื่องต้องถูกจับแต่เพราะไม่ยอมติดคุกจึงขับรถหลบหนี ไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะผิดคิวจนทำให้รถคว่ำจนตายคาที่!! เมื่อฟื้นขี้นมา เธอตกใจแทบสิ้นสติเพราะภาพตรงหน้ากลับไม่คุ้นชินเอาเสียเลย เนื่องจากชุดและบรรยากาศรอบตัวไม่ใช่เมืองไทยหรือสถานที่ที่เธอคุ้นเคย เธอพยายามทบทวนความคิดจู่ ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ก็ปรากฏเข้ามาในหัวราวกับกำลังฉายภาพยนต์ "ตายห่าแล้ว นี่ฉันเข้ามาอยู่ในนิยายเหรอเนี่ย" เมื่อรู้ว่าตนเองนั้นเข้ามาอยู่ในนิยายที่เพิ่งอ่านไปได้ไม่นาน กรกชแทบสิ้นสติไปอีกรอบ ก่อนจะได้ยินเสียงปริศนาดังขึ้น "ในเมื่อสงสารนางร้ายของเรื่อง เธอลองสวมบทนางร้ายในชีวิตจริงดูสิ" "หา!! ให้ฉันสวมบทนางร้าย ฉันตายแล้วนะควรส่งฉันไปเกิดสิ จะส่งมาในนิยายทำไม ในเมื่อส่งมาในนิยายแต่ไม่มีอะไรให้เลย นิ้วทองคำน่ะให้ได้ไหม" เธอเคยอ่านนิยายแนวทะลุมิติว่าบางเรื่องมักจะมีมิติให้ ที่สำคัญส่วนมากเข้ามาเป็นนางเอกแล้วทำไมเธอต้องมาเป็นนางร้ายกันล่ะ "ตกลงฉันจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ" จากนั้นเสียงปริศนาหายไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร อ่านต่อในเรื่องนี้ได้เลยค่ะ

นิยายรักโรแมนติกนิยายย้อนยุคนิยายจีนโบราณคนในใจผู้ชายอบอุ่นข้ามมิติมาเฟียพระเอกเก่งยุค80โรแมนติก

บทที่ 1 กชกร นางร้ายอันดับหนึ่ง

บทที่ 1 กชกร นางร้ายอันดับหนึ่ง

ภายในห้องแต่งหน้าของกองถ่ายละครเรื่องหนึ่ง กรกช นางร้ายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย กำลังอินกับนิยายที่เพื่อนสนิทแนะนำให้อ่าน พออ่านช่วงแรก ๆ เธอก็เข้าข้างนางเอกของเรื่องนี้ทันทีเพราะนางเอกถูกพี่สาวที่เป็นนางร้ายของเรื่องกระทำมาตลอด แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดและกลับไปเข้าข้างนางร้ายเสียนี่

“เอ้อ...สรุปนางเอกเป็นแม่ดอกบัวขาวหรอกเหรอเนี่ย ฉันเริ่มสงสารนางร้ายแล้วสิ บางทียังไม่ทันอะไรก็ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม” เธอพึมพำกับตัวเองเมื่ออ่านมาถึงตอนที่นางร้ายถูกนางเอกใส่ร้ายแล้วทุกคนก็เชื่อนางเอก

“ไม่อยากอ่านแล้ว มีอย่างที่ไหนที่นางร้ายชะตาน่าสงสารกว่านางเอก ชิ” หญิงสาวพูดออกมาอย่างขัดใจและวางนิยายลง

ช่างกำลังแต่งหน้าให้เธออยู่เห็นอย่างนั้นได้แต่อมยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่คิดว่านางร้ายตัวแม่อย่างกชกรจะติดอ่านนิยายเหมือนกัน แถมยังกำลังเข้าข้างนางร้ายในนิยายอีกต่างหาก

“ไม่คิดว่าคุณเนยจะติดอ่านนิยายเหมือนกันนะคะ ทั้ง ๆ ที่คิวงานรัดตัวขนาดนี้ เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มี แต่ก็ยังหาเวลาอ่านนิยายได้” ช่างแต่งหน้าพูดขึ้นมาด้วยความสนิทสนมเพราะร่วมงานกันมานานแล้ว

“งานรัดตัวก็ไม่มีปัญหาค่ะ อ่านระหว่างนั่งรอแต่งหน้าแบบนี้ไงคะ ยิ่งเรื่องนี้ยิ่งต้องอ่านเพราะสนุกมาก เนยอ่านแล้วติดงอมแงมเลยค่ะ เรื่องนี้ต้องยกให้เจ๊นาง รายนั้นน่ะ นิยายเรื่องไหนออกใหม่จะต้องส่งมาให้ตลอดเลยล่ะ” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยสีหน้าสดใส และหยิบนิยายขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง

ช่างแต่งหน้าเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มออกมาพร้อมกับมองหญิงสาวอย่างชื่นชม เพราะแม้ว่ากชกรจะเป็นนางร้ายอันดับหนึ่งที่ตีบทแตกกระจาย ในละครเธอทั้งเหวี่ยงทั้งวีนจนคนเกลียดนางร้ายคนนี้ทั้งประเทศ แต่ทว่าในชีวิตจริงเธอกลับไม่มีท่าทีหยิ่งผยองหรือถือตัวเลย

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณเนยจะทำตัวติดดินมากขนาดนี้ ไม่บ่งบอกว่าจะเป็นซุปตาร์แห่งวงการบันเทิงเลยแม้แต่น้อย” ช่างแต่งหน้าพูดขึ้นเหมือนชวนคุยในขณะที่มือก็กำลังทำงาน

“หึ อะไรคือทำตัวติดดิน อะไรคือทำตัวเป็นซุปตาร์คะ” หญิงสาวถามขึ้นอย่างสงสัย แต่สายตาก็ยังคงอยู่ที่นิยาย

”ก็คุณเนยกินข้าวกล่องที่ทางกองถ่ายจัดให้อย่างไม่มีปัญหา หรือหากไม่ถูกปากจริง ๆ ก็ซื้ออาหารข้างทางกินแทน อีกทั้งยังมีร้านขายเสื้อผ้าอีกด้วย แซนดี้รู้นะว่าคุณเนยเปิดร้านเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการซื้อเสื้อแบรนด์เนมดังราคาแพง เพราะอ้างว่าจะต้องใส่เสื้อผ้าแบรนด์ของตัวเอง คุณเนยไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราเหมือนคนอื่น ที่พอมีเงินแล้วต้องเข้าร้านอาหารหรูหราหรือต้องทำตัวไฮโซตามฐานะด้วยการซื้อของแพง ๆ มาประดับกาย” ช่างแต่งหน้าที่ชื่อแซนดี้พูดขึ้นอย่างรู้จักนางร้ายคนนี้ดี

“โอ้โห เนยไม่รู้เลยนะคะเนี่ยว่าตัวเองทำขนาดนั้น แต่เนยไม่ใช่ติดดินอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ ที่กินข้าวกองถ่ายเพราะอร่อยจริงๆ ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้นเนยก็แค่ไม่อยากแต่งแบบในละครก็เท่านั้นเอง ใส่เสื้อผ้าแบบธรรมดา ๆ และไม่ต้องแต่งหน้าก็ดีนะคะ เดินไปตลาดนัดคนก็ไม่ผิดสังเกต อย่างเก่งก็มองอย่างสงสัยเท่านั้น คิกคิก คิก” นางร้ายอันดับหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมกับหัวเราะออกมา

“คุณเนยน่ารักมากค่ะ แซนดี้อยู่วงการนี้มานานแล้ว แต่แทบจะไม่เจอนางร้ายแบบคุณเนย” ช่างแต่งหน้ารายนี้คร่ำหวอดมาในวงการร่วมสิบกว่าปี แต่ไม่เคยเจอนางร้ายที่ติดดินและเป็นกันเองแบบนี้มาก่อนจึงพูดชื่นชมเธอออกมาอย่างจริงใจ

“ขอบคุณนะคะสำหรับคำชม ว่าแต่อย่าเรียกคุณเนยอีกเลยนะคะ พี่แซนดี้นี้ละก็ เนยบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าเรียกเนยเฉย ๆ ก็พอไม่ต้องมีคุณนำหน้า เนยก็แค่ลูกคนธรรมดาเท่านั้น โชคดีที่ได้เข้าวงการบันเทิงและมีผู้ใหญ่เอ็นดูให้งานเนยตลอด ทำให้เนยมีวันนี้ และเนยอยากให้พี่ ๆ เห็นเนยเป็นน้องสาวคนหนึ่งอีกด้วย”

กชกรพูดขึ้นมายาวเหยียดเพื่อพี่ช่างแต่งหน้ายังเรียกเธออย่างให้เกียรติจนเกินไป เธอไม่เคยถือตัวและไม่เคยมองว่าตนเองนั้นเป็นนางร้ายเบอร์หนึ่งอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย เธอคิดว่าตนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่โชคดีมีแมวมองชักนำให้เข้ามาในวงการบันเทิงเท่านั้น การที่พี่ช่างแต่งหน้าเรียกเธอว่า ‘คุณเนย’ มันทำให้เธอรู้สึกจักจี้อย่างไรก็ไม่รู้

“น้องเนยก็เป็นเสียอย่างนี้ จะไม่ให้พวกพี่รักได้อย่างไร ไม่เหมือน...” แซนดี้พูดขึ้นมาอย่างเอ็นดู แล้วชะงักไปเพราะไม่อยากเอ่ยชื่อของใครบางคน แต่ทุกคนในห้องนี้ต่างก็รู้ดีว่าหมายถึงอะไรและหมายถึงใคร

ที่แซนดี้พูดมานั้นกชกรก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร แต่เธอเลือกที่จะไม่ยุ่งและไม่พูดถึง เพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร อีกทั้งเธอยังได้ข่าวว่านางเอกละครเรื่องนี้เป็นคนของใครบางคน ที่ดูจะมีอิทธิพลและมีเงินไม่น้อย เธอเลยไม่อยากมีปัญหาเพราะยังอยากทำงานในอาชีพนี้อยู่

“ฉันขอพักสายตาแป๊บหนึ่งนะคะ พี่อยากทำอะไรก็จัดการได้เลย” กชกรพูดจบก็หลับตาลงเพื่อเป็นการตัดบทสนทนาทุกอย่าง

“ค่ะน้องเนย” แซนดี้ที่ทำงานกันมานานก็พอรู้จึงรับคำสั้นๆ

จากนั้นทั้งแต่งหน้า ช่างทำผมก็ทำงานไปเงียบ ๆ แต่จังหวะก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น“แต่งอะไรของเธอ จะไปไหนก็ไป” เป็นเสียงของซอนย่านางเอกของเรื่องที่ดังขึ้นอย่างไม่พอใจ เธอต่อว่าช่างแต่งหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองผู้จัดการของตัวเองแล้วพูดขึ้นอย่างเอาแต่ใจ

“ฉันต้องการให้พี่แซนดี้มาแต่งหน้าให้”

ตอนนี้กองถ่ายจัดช่างแต่งหน้าอีกคนให้เธอ ซึ่งความจริงแล้วช่างแต่งหน้าคนนี้ก็มีฝีมือไม่ต่างจากแซนดี้เลย แต่เธอต้องการแซนดี้ก็เพราะอยากแย่งช่างแต่งหน้าของใครบางคนเพราะหมั่นไส้

“ไม่ได้ยินที่คุณซอนย่าบอกหรือไง รีบจัดการสิ” ผู้จัดการของนางเอกหันมาพูดกับคนดูแลกองถ่าย ด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจไม่ต่างกัน

“แต่พี่แซนดี้กำลังแต่งหน้าให้คุณเนยอยู่นะคะ”

เจ้าหน้าที่กองถ่ายพูดขึ้นเสียงอ่อยๆ เธอแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพง เมื่อรู้ว่าต้องมาดูแลนางเอกคนนี้ อย่าว่าแต่ซอนย่าเลย ผู้จัดการของหล่อนก็เรื่องมากไม่ต่างกัน

“แล้วยังไง หากน้องซอนย่าของฉันไม่ได้แต่งหน้ากับช่างแซนดี้ วันนี้ก็คงจะไม่มีการถ่ายทำ เพราะนางเอกของเรื่องไม่มีช่างแต่งหน้า”

เสียงผู้จัดการของซอนย่าพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ พร้อมทำท่าเก็บของเตรียมกลับ ส่วนสายตานั้นมองไปทางกรชกรนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องอย่างเจ้าเล่ห์ วันนี้ผู้จัดการของนางร้ายไม่ได้มาด้วย เลยคิดจะรังแกอีกฝ่าย เพราะทั้งสองไม่ค่อยถูกกันเท่าไร

“พี่แซนดี้ไปเถอะค่ะ เหลืออีกไม่เยอะให้ใครมาแต่งต่อก็ได้ อย่าให้มีปัญหาเลยค่ะ หากนางเอกไม่ถ่ายทำ ความเสียหายมันเยอะนะคะ เดี๋ยวจะมีคนเดือดร้อนอีกหลายคน” กชกรแกล้งยกหนังสือนิยายขึ้นมาบังใบหน้าไว้แล้วพูดเสียงเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน

“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พี่ละเบื่อจริงเชียว อะไรก็ไม่รู้ ช่างคนอื่นก็แต่งได้เหมือนกัน ทำไมต้องเจาะจงเรียกพี่ทุกครั้งที่พี่กำลังแต่งหน้าให้น้อยเนย” แซนดี้พูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย ระหว่างลงมือเก็บเครื่องสำอางเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินมาหาซอนย่าที่อยู่อีกมุมห้องด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และลงมือแต่งหน้าให้นางเอกโดยไม่พูดอะไร

“เฮ้อ...สงสารพี่แซนดี้นะคะ ถูกเรียกตัวอีกแล้ว ทำไมพี่เนยถึงยอมง่ายๆ ล่ะคะ” เก๋สาวน้อยช่างทำผมพูดขึ้นมา ดีหน่อยที่เธอไม่ใช่ช่างผมชื่อดัง เลยไม่ถูกเรียกกลางคันแบบนี้

“ช่างเถอะ ยังไงก็ต่างคนต่างอยู่กันน่ะดีแล้ว ถ้าเราไปทะเลาะด้วย เดี๋ยวก็เป็นเรื่องใหญ่และอาจจะถูกยกเลิกกองอีก”

เธอพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไรมาก ขอแค่ต่างคนต่างอยู่ไม่ล้ำเส้นกันมากเกินไปก็พอ อะไรยอมได้ก็ยอมเพื่อส่วนร่วม เพราะหากนางเอกอาละวาดอาจจะมีการยกเลิกกองถ่ายในวันนี้จริงๆ ก็ได้ นั่นยิ่งจะทำให้มีคนเดือดร้อนหลายคน