บทที่ 8 ค่ำคืนเมามายแสนอันตราย
หนึ่งเดือนผ่านไป หงเจี้ยนหยางทำตามตารางการรักษาของเทพธิดาอันเยว่ฉีอย่างเคร่งครัด ข้อมือของเขาเริ่มหายปวดแล้ว และในที่สุดนางก็อนุญาตให้เขาฝึกยุทธ์ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นได้ แต่ยังคงห้ามไม่ให้จับอาวุธ
จางป๋อเหวินหายโกรธหงเจี้ยนหยางเมื่อไม่กี่วันก่อน เพราะมีลูกท้อเชื่อมน้ำตาลส่งมาจากเมืองอู่โจว และหงเจี้ยนหยางก็ยกให้กุนซือจางทั้งหมด เย็นวันนี้ท่านกุนซือจึงมาคอยดูแลเขา
หากจะเรียกให้ถูกคือ ท่านกุนซือผู้นั้นมาคอยกำกับไม่ยอมให้เขาจับอาวุธ แต่บังคับให้เขาฝึกร่างกายด้วยการร่ายรำตามท่าทางของเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า [1] ซึ่งต้องขยับร่างกายช้าๆ อย่างทรมาน ท่านกุนซือใช้อ้างว่าเขาจะได้ฝึกสมาธิด้วย
“นายท่าน เอ้อหลิงนำน้ำแกงไก่ใส่โสมมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เอ้อหลิงจึงให้คนไปตามหาโสมอยู่สามวัน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มา เอ้อหลิงเคี่ยวด้วยตัวเองก่อนจะนำมาให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวร่างอรชรตัวเล็กเอวคอดได้รูปพูดขึ้น
หงเจี้ยนหยางหยุดฝึกร่างกาย เขาหันไปมองดูที่มาของเสียง
“เจ้าคือเอ้อหลิงคนนั้นหรือ” เขายังจำที่สาวใช้อี้ซิ่วพูดได้
“เจ้าค่ะ”
อนุเอ้อหลิงผู้ซึ่งหงเจี้ยนหยางไม่เคยรู้ว่านางเป็นอนุของเขาได้อย่างไร แต่ในเมื่อท่านแม่แต่งตั้งแล้ว ทุกคนในจวนจึงเรียกนางว่าอนุตามกันไป วันนี้นางถึงขั้นทาชาดที่แก้มจนแดงราวกับก้นลิง
“ยกวางไว้บนโต๊ะ ข้าอยากดื่มน้ำแกงพอดีเลย” ชายตัวใหญ่ไม่สนใจว่านางเป็นอนุจริงหรือไม่ ขอเพียงยามนี้หลบหนีจากการบังคับของท่านกุนซือจางได้เป็นพอ
“ไม่ได้ ต้องฝึกจนครบหนึ่งก้านธูปก่อน” จางป๋อเหวินห้ามทันที
“ข้าคอแห้ง”
“พักสักครู่ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ เดี๋ยวเอ้อหลิงป้อนน้ำแกงให้นายท่านก่อน ค่อยฝึกต่อก็ได้เจ้าค่ะ” อนุเอ้อหลิงรีบออกตัวเพราะอยากปรนนิบัติสามี
กุนซือจางเพียงหันไปส่งสายตาเยียบเย็นให้สตรีผู้นั้น
“..เอ่อ เช่นนั้นเอ้อหลิงวางไว้บนโต๊ะ นายท่านอย่าลืมดื่มนะเจ้าคะ” นางได้แต่หลบตาและรีบวางถ้วยน้ำแกงไว้บนโต๊ะ อนุเอ้อหลิงฉลาดพอจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แม้นางอยากเอาใจท่านกั๋วกง แต่ก็ต้องยอมแพ้
หงเจี้ยนหยางมองถ้วยน้ำแกงด้วยความเสียดาย ก่อนจะเริ่มฝึกท่ามวยเสี่ยวจิ่วเทียนฝ่าต่อไป
ส่วนอนุเอ้อหลิงไม่ต้องรอให้กุนซือจางพูดอะไรนางก็รีบเดินออกจากที่นั่น แม้ในใจจะแอบคิดว่ากุนซือจางทำตัวคล้ายเป็นภรรยาแต่งของท่านกั๋วกงมาก แต่อย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป
อันเยว่ฉีกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเก่าของนาง จู่ๆ ก็ถูกมือเล็กของอาเจียวเขย่าอย่างแรง นางรู้ตัวแต่ยังไม่อยากลุก จึงดึงผ้าห่มคลุมหัวและกอดหมอนข้างนุ่มหลับต่อไป
“พี่ใหญ่ ๆ ๆ แย่แล้ว พี่ใหญ่” เด็กชายแทบจะตะโกน แต่คล้ายว่าเทพธิดาก็ยังไม่ยอมตื่น
“พี่ใหญ่!!” อาเจียวตัดสินใจตะโกนใส่ข้างหู
“อาเจียว!” อันเยว่ฉีลุกขึ้นนั่งด้วยความโมโห
“มีคนมาหาท่าน เขายืนรออยู่ที่หน้าห้อง” เด็กชายรีบพูดเรื่องสำคัญก่อนที่ตัวเองจะถูกด่า
“เวลานี้เนี่ยนะ!” หญิงสาวไม่เข้าใจ ใครมันหน้าด้านขนาดนี้กัน ถึงนางจะเป็นหมอ แต่นางไม่ใช่แพทย์ฉุกเฉินในโรงพยาบาลเสียหน่อย
“ลูกค้ารายใหญ่” อาเจียวยกมือป้องปากและกระซิบกระซาบเสียงเบา ทำท่าทางราวกับกลัวว่าคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องอาจจะได้ยิน
อันเยว่ฉีโมโหเพราะนางให้ความสำคัญกับเรื่องการนอนเป็นเรื่องใหญ่ หญิงสาวไม่ชอบเวลาที่ตัวเองนอนไม่เต็มอิ่ม
“ชิ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแม่จะอาละวาดให้บ้านแตกเลย ฮึ่ม!” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน รีบลุกขึ้นแต่งตัว ออกไปหาลูกค้ารายใหญ่ด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
กุนซือจางพาเทพธิดานั่งรถม้าด้วยความเร่งรีบกลับไปยังจวนของท่านกั๋วกง ระหว่างทางเขาบอกกับนางเพียงว่าหงเจี้ยนหยางอาละวาดใหญ่โต และไม่มีผู้ใดหยุดได้
ในห้องที่แสงโคมถูกดับจนมืด ชายร่างใหญ่กำลังลนลานทำอะไรไม่ถูก สองมือคว้าจับทุกสิ่งที่อยู่ใกล้มือ จับผ้าม่านได้ก็ฉีกดึงทิ้ง จับโต๊ะได้ก็จับโยนขว้างราวกับเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง
หงเจี้ยนหยางตัวสั่นเทา ในความมืดเขาคล้ายเห็นแสงไฟลุกโชน เผาไหม้ร่างทหารในความดูแลของเขาจนไหม้เกรียม กลิ่นเนื้อสดที่ถูกย่างลอยคลุ้งจนหายใจไม่ออก เขาพยายามเก็บดาบใหญ่บนพื้นแต่ทำอย่างไรก็หยิบไม่ได้
ลูกธนูดอกหนึ่งตรงเข้ามาทางเขา แต่หงเจี้ยนหยางหลบไม่ทัน นายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามาขวางลูกศรไว้ ลูกธนูปักทะลุคอของทหารคนนั้น ทหารที่หงเจี้ยนหยางจำได้ว่าเมื่อคืนเป็นยามเฝ้าหน้ากระโจมของเขา
เขาไม่รู้จักชื่อทหารคนนั้นด้วยซ้ำ แต่ทหารนายนั้นยอมถึงขั้นใช้ชีวิตปกป้องเขา
“ย๊ากกกกกกก!!” แม่ทัพหงตะโกนด้วยความโกรธจัด วิ่งเข้าใส่ศัตรูโดยไร้อาวุธ เขาไม่เคยกลัวตาย
“กรี๊ด!!” เสียงสตรีผู้หนึ่งร้องขึ้น
“เจ้าเป็นใครกัน” แม่ทัพหงถามด้วยความฉงน เขาแน่ใจว่าเขายังอยู่ในกองเพลิงที่เผาค่ายทหารจนวอดวาย แต่เหตุใดจึงมีสตรีอยู่ที่นี่
“นะ..นายท่าน” เสียงของอนุเอ้อหลิงเอ่ยด้วยความสั่นกลัว
“รีบหนีไปซะ” เขาสั่ง
อนุเอ้อหลิงวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล เพราะชุดของนางที่ยาวกรุยกรายลากไปกับพื้น หงเจี้ยนหยางรู้สึกว่าสตรีช่างน่ารำคาญนัก เป็นตัวถ่วงเขาไม่พอ ยังทำให้พลทหารเสียชีวิตเพิ่มอีกหลายศพ และศัตรูของเขาก็หนีไปได้
ระหว่างที่เขาย่างเท้าจะวิ่งไล่ตามศัตรู ประตูกระโจมก็เปิดออก ชายร่างเล็กผู้หนึ่งถือคบเพลิงสว่างไสวเอาไว้จนแม่ทัพหงเห็นหน้าผู้มาไม่ชัดเจน ข้างกายของชายร่างเล็กมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย
“มัดเขาไว้ซะ” อันเยว่ฉีเอ่ยบอกกุนซือจาง
“อย่าเข้ามา ข้าคือเสวียนหู่แห่งอี้โจว ข้ายังสามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยมือเปล่า” หงเจี้ยนหยางข่มขู่ แม้เขาจะไม่อาจจับดาบใหญ่ แต่ความอันตรายของเขายังไม่หายไปไหน
[1] เสี่ยวจิ่วเทียนฝ่า หรือ สวรรค์น้อยทั้งเก้า เชื่อกันว่าเป็นท่ามวยต้นกำเนิดของการรำไท่เก๊ก (ไท่จี๋เฉวียน) ก่อนจะถูกพัฒนาผ่านหลายตระกูลและหลายชั่วอายุคน จนในที่สุด จางซานฟง ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ้ง ก็ได้รวบรวมความรู้ของคนรุ่นก่อนที่ตกทอดกันมาปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาจนเป็นระบบมวยสิบสามกระบวนท่าอย่างที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
