
ทะลุมิติมาเป็นนักกายภาพบำบัดของท่านแม่ทัพ
บทย่อ
เขาเป็นอดีตแม่ทัพที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่อาจทำหน้าที่ได้ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จนได้พบกับสตรีประหลาดผู้มีผมสีทอง เขาจำต้องพานางเข้าจวนเป็นอนุ เพื่อจะได้รักษาอาการบาดเจ็บและอาการนกเขาไม่ขันได้ตลอดเวลา ***ส่วนหนึ่งในนิยาย*** หงเจี้ยนหยางได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลืมตาตื่นแต่พยายามแล้วก็ยังลืมตาไม่ขึ้น เขารู้สึกง่วงจนคล้ายตื่นไม่ไหว ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่สามารถข่มตาหลับด้วยซ้ำ ยามนี้กลับลืมตาไม่ขึ้น เพียงรู้สึกหนักหน่วงบนอกและระคายตามแก้มกับลำคอ บุรุษตัวใหญ่ยกมือขึ้นปัดไปมาเพื่อไล่ความระคายที่รู้สึก แต่คล้ายว่าปัดอย่างไรก็ไม่หาย อีกทั้งเจ้าสิ่งนั้นยังพันไปตามนิ้วมือของเขาจนยุ่งเหยิง ด้วยความรำคาญเขาจึงออกแรงดึง “โอ๊ย!!..เจ็บ” หงเจี้ยนหยางชะงักค้าง เขาลืมตาตื่นทันที เสียงสตรีที่ได้ยินและความหนักตรงอกบ่งบอกว่าอนุคนใหม่ของเขาปีนขึ้นมานอนบนตัวเขาอีกแล้ว แต่เพราะยังมืดมาก ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาลูบคลำเพื่อความแน่ใจ เผื่อว่าเขาอาจกำลังฝันร้ายถึงช่วงเวลาที่พ่ายแพ้ศึกอีกครั้ง ร่างนุ่มนิ่มดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่บนตัวของหงเจี้ยนหยาง เขาค่อยๆ วางมือลงบนบริเวณที่คาดว่าเป็นเอวของหญิงสาว มืออีกข้างที่ถูกเส้นผมพันอยู่ก็ต้องค่อยๆ ดึงออก เขากลัวว่าอาจทำให้นางเจ็บ ในใจก็นึกสงสัยว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้ชอบนอนบนร่างกายของผู้อื่นนัก เมื่อสองมือจับรวบบนเอวของหญิงสาว เขาก็ได้รู้ว่าที่แท้รอบเอวของนางเล็กจนเขาใช้สองมือจับได้รอบ เขาพยายามดันตัวนางให้ลงไปนอนด้านข้าง แต่หญิงสาวผู้นั้นกลับไม่ยินยอม นางกอดไหล่เขาเอาไว้จนแน่น “อื้อ..” นางส่งเสียงครางในลำคอเพื่อดุให้หมอนข้างอยู่นิ่งๆ “จะ..เจ็บหรือ” เขาถามเสียงแผ่วเบา “อือ..” ด้วยความง่วงนอน อันเยว่ฉีจึงส่งเสียงครางตอบโดยไม่ใส่ใจ นางทำเพียงพลิกหน้าและขยับตัวให้สบายขึ้น “ขะ..ขอโทษ ข้าจะเบามือ” หงเจี้ยนหยางเอื้อมมือไปโอบไหล่ของนางและค่อยๆ จับร่างนุ่มนิ่มพลิกตัวไปไว้ด้านข้างอย่างเบามือ คราวนี้นางยอมหันไปนอนด้านข้างโดยดี ก่อนจะลุกขึ้นออกไปเปิดประตูดูว่าใครมาเรียก แม้ท้องฟ้าจะเริ่มเป็นสีเทาแล้ว แต่บนพื้นยังมืดมิดอยู่ โชคดีที่จวนของท่านกั๋วกงมีเงินทองมากมาย จึงสามารถใช้จ่ายซื้อน้ำมันสำหรับจุดโคมได้ทั้งคืน ด้านนอกประตูเรือนนอนของอนุอันเยว่ฉีจึงยังสว่างไสว อดีตแม่ทัพหงเห็นชัดว่ากุนซือของเขายืนรออยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าของกุนซือแดงก่ำ แม้เขาจะใส่ชุดดำช่วยอำพรางไปกว่าครึ่งแล้ว “เจ้าป่วยหรือ” บุรุษตัวใหญ่เอ่ยถามก่อน “..เจ้าหายแล้วหรือ” กุนซือจางถามถึงเรื่องที่หงเจี้ยนหยางนกเขาไม่ขัน “ฮะ?” แต่บุรุษตัวใหญ่กลับไม่เข้าใจ “ช่างเถิด..” จางป๋อเหวินพูดไม่ออก เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเมื่อครู่เขาได้ยินหมดแล้ว ยามนี้เขาก็กำลังรู้สึกผิดที่มาปลุกเขาในช่วงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม “ข้าก็บอกแล้วว่าอย่าหักโหม..ป่วยก็ไปนอน จะตื่นเช้าเพื่ออันใด ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าต้องมาคอยปลุกข้าทุกเช้า” หงเจี้ยนหยางดุกุนซือจาง แม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าแต่เขาก็ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว “อืม..เจ้ากลับไปต่อเถิด ข้า..จะไม่ให้ใครมารบกวน” จางป๋อเหวินพูด ก่อนจะหันหลังเดินจากไป “นี่ อย่าหักโหมมากนัก เดี๋ยวผู้อื่นจะสงสัย” หงเจี้ยนหยางตะโกนตามหลัง ‘ใครกันแน่ที่หักโหม ยามนี้แล้วยังไม่หยุดอีก’ จางป๋อเหวินได้แต่กัดฟันบ่นในใจ
บทที่ 1 ข่าวของเทพธิดาผมทอง
หงเจี้ยนหยาง แม่ทัพผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดชายชาติทหาร เป็นมหาบุรุษที่นับร้อยปีจะมีสักคนหนึ่ง อดีตจอหงวนบู๊ผู้เลื่องชื่อที่สามารถล้มกองทัพชาวหู [1] ร้อยนายเพียงลำพัง ตัวสูงใหญ่กว่าเก้าฉื่อ [2] ราวกับยักษ์ผานกู่ น่าเกรงขามจนศัตรูต่างหวาดเกรงไม่กล้าเอ่ยชื่อ ถูกขนานนามยิ่งใหญ่ว่า เสวียนหู่ [3] แห่งอี้โจว
ยามนี้ เจ้าเสือดำนั่นกลับเมามายในห้อง ไม่ยอมพบผู้ใด ปล่อยตัวสกปรกหนวดเครารุงรังไม่ต่างจากพวกชาวหู ตัวอ้วนหนากว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ทิ้งตัวอยู่ท่ามกลางกองไหสุรา ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเรือนหลัง
บุรุษตัวเล็กสูงเพียงหกฉื่อครึ่ง [4] สวมแหวนสีดำไว้ทั้งสิบนิ้ว ดูประหลาดแต่ก็เข้ากับชุดดำล้วนของเขายิ่งนัก เมื่อบุรุษผู้นั้นเดินมาจนถึงหน้าเรือนเหม็นสุรา ท่าทางของสาวใช้สองคนที่ตัวเปียกปอนยืนเฝ้าประตูอยู่ก็ราวกับได้พบหนทางหลุดพ้นจากทะเลทุกข์
“ท่านกุนซือจาง ฮือ..” สาวใช้คนหนึ่งยกมือมาปิดปากเพื่อป้องกันเสียงร้องไห้เล็ดลอดออกมา นางดีใจราวกับได้พบพระโพธิสัตว์ก็ไม่ปาน
“ไปเถิด ข้าดูแลเขาเอง” บุรุษในชุดดำผู้ถูกเรียกว่ากุนซือจางโบกมืออนุญาตให้สาวใช้ไปทำสิ่งอื่นได้ ไม่ต้องทนทรมานเฝ้าหน้าเรือนของเหม็นสุราของหงเจี้ยนหยางอีกต่อไป
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านกุนซือ” สาวใช้ทั้งสองคนรีบย่อตัวคารวะ แล้ววิ่งจากไปทันที
กุนซือจางได้แต่ส่ายหัว หลายเดือนมานี้หงเจี้ยนหยางทำตัวราวกับเป็นอาจมสุนัขกองหนึ่ง ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขา แต่ฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของหงเจี้ยนหยางกลับบังคับสาวใช้ในจวนทุกคนที่ยังไม่ได้แต่งงานให้มาคอยเฝ้าดูแลบุตรชาย
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังให้บุตรชายที่เมามายเผลอจับสตรีสักคนขึ้นเตียง นางจะได้มีหลานสืบสกุลสักที แต่ไม่ว่าสาวใช้กี่คนต่อกี่คนต่างก็หวาดกลัวจะได้ขึ้นเตียงของอดีตแม่ทัพหงเจี้ยนหยางผู้นี้ยิ่งนัก
ไม่ใช่เพราะเขาดุร้ายราวเสือดำตามฉายาของเขา แต่เพราะความเมามายจนไม่สนใจใต้หล้าต่างหากที่ทำให้เหล่าสาวใช้เข็ดขยาด หงเจี้ยนหยางผู้นั้นถึงขั้นยืนปัสสาวะรดหัวสาวใช้มาแล้ว!!
มีใครบ้างอยากปีนขึ้นเตียงของคนไร้สติ บางครั้งเจ้าเสือดำผู้บ้าคลั่งถึงขั้นทุบทำลายข้าวของ ดื่มสุราจนเมามายแล้วก็ยังมีแรงปีนขึ้นไปเลาะหลังคาจวนทิ้ง แม้หงเจี้ยนหยางจะสืบทอดตำแหน่งกั๋วกงจากบิดาที่เสียแล้วก็ยังไม่มีสตรีสติครบถ้วนคนใดต้องการอยู่ใกล้
วันนี้สาวใช้สองคนนั้นก็เพิ่งถูกหงเจี้ยนหยางจับโยนใส่อ่างอาบน้ำเพราะพวกนางพยายามจะให้เขาล้างตัว หลังจากพวกนางเปียกชุ่มก็ถูกเขาไล่ให้ออกมายืนเฝ้าหน้าประตู ทั้งที่อากาศช่วงนี้หนาวเย็นจนใกล้หิมะตกเต็มที
กุนซือจางเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ผ้าม่านและผ้าปูถูกดึงลงมาทิ้งเต็มพื้น เขาต้องก้าวข้ามไหสุราทั้งเล็กใหญ่อย่างระมัดระวัง เพราะบางไหก็ถูกทุบจนแตก
ร่างสูงใหญ่ของหงเจี้ยนหยางนอนจมในกองผ้าห่มที่มีคราบสุราเปียกเกินครึ่ง ส่งกลิ่นเหม็นจนแสบจมูก แต่บุรุษตัวใหญ่ผู้นั้นก็ยังคงนอนหลับได้ราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“..น่าสมเพช” กุนซือจางไร้คำจะต่อว่าแล้ว เขาพยายามจะช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในใจของสหาย แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจช่วยได้เลย
เขาในฐานะกุนซือที่เคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบมาด้วยกัน ทนเห็นหงเจี้ยนหยางในสภาพนี้แทบไม่ไหว เคยพาไปหาหมอมาหลายคน แม้แต่หมอหลวงในวังก็เชิญมารักษาแล้ว แต่อาการบาดเจ็บของหงเจี้ยนหยางก็ยังไม่ดีขึ้น
“ลุกขึ้น” กุนซือจางเตะเข้าที่สีข้างของเจ้าเสือดำ
“!!..ใคร! ใครกล้าลอบทำร้ายแม่ทัพ” หงเจี้ยนหยางตะโกนทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้น ร่างสูงใหญ่พยายามชันตัวลุกนั่งอย่างทุลักทุเล
“ล้างเนื้อล้างตัวซะ ข้าจะพาเจ้าไปหาเทพธิดา”
“อ้อ..พี่เหวินหรือ” หงเจี้ยนหยางปรือตามอง เห็นว่าเป็นท่านกุนซือจาง เขาก็หลับตานอนต่อไป
“ลุกขึ้น!” จางป๋อเหวินเตะซ้ำไปที่เดิม เขาสุดจะทนความเน่าสกปรกของอดีตแม่ทัพผู้นี้แล้ว
“ชิ เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ” หงเจี้ยนหยางที่เมื่อครู่ยังเมามายลุกขึ้นไม่ขึ้น ยามนี้กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลเตะจนร่างในชุดดำปลิวลิ่วเกือบถึงประตู
จางป๋อเหวินถูกเตะจนลอยมาไกล แต่เขาคล้ายรับมือท่าเตะนั้นเป็นประจำจนสามารถคาดเดาทิศทางการตกของตัวเองได้ แม้เขาจะตัวเล็ก แต่ทันทีที่ล้มก็กระโดดลุกขึ้นวิ่งเข้าใส่หงเจี้ยนหยางอีกครั้ง
เจ้าเสือดำหงุดหงิดเพราะถูกเตะ ร่างสูงใหญ่กระโดดทีเดียวก็ลุกขึ้นมาตั้งรับการโจมตีจากกุนซือจางได้อย่างสบาย ชายตัวเล็กและชายตัวใหญ่จึงเริ่มต่อสู้กันวุ่นวายในห้องที่ทั้งเหม็นทั้งรก
“เสวียนหู่อะไรกัน เจ้ามันแค่สุนัขเหม็นอาจม” กุนซือจางบ่นระหว่างที่เหวี่ยงเส้นด้ายสีดำออกจากแหวนของเขาไป ด้ายพวกนั้นพันมัดสองแขนของหงเจี้ยนหยางอย่างแม่นยำ
“จางป๋อเหวิน ข้ากับเจ้าขาดกันตั้งแต่วันนี้” หงเจี้ยนหยางผู้ซึ่งตัวใหญ่และมีพละกำลังมหาศาล ใช้แขนที่ถูกมัดดึงเส้นด้ายสีดำลากจนร่างบุรุษตัวเล็กลอยเข้ามาให้เขาเตะ
“เจ้าหมูสกปรก” จางป๋อเหวินหลบได้
“ข้าไม่ได้เป็นหมู!” หงเจี้ยนหยางไม่ยอมรับ
“หมู!”
ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ กว่าบุรุษสองคนจะยอมหยุด ในห้องที่พังรกอยู่แล้วยิ่งถูกทำลายจนข้าวของระเกะระกะเต็มไปหมด
“เจ้าบอกว่าจะไปที่ใดนะ” หงเจี้ยนหยางหอบเหนื่อยจนหนวดเครากระเพื่อม มีกลิ่นสุราโชยแรงมาจากร่างของเขา
“ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านหมอผู้หนึ่ง เล่ากันว่านางเป็นเทพธิดา สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ไม่มีผู้ใดรักษาได้” กุนซือจางตอบ แม้เขาจะไม่มีเหงื่อออกสักเม็ด แต่ผมที่รวบจนเรียบตึงก็เริ่มหลุดลุ่ยบ้างแล้ว
“ข้าไม่ไป”
“ขี้ขลาด”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
“ข้าบอกว่า เจ้า มัน หมู ขี้ ขลาด” บุรุษตัวเล็กเน้นทีละคำ
“..ชิ ข้า..ข้าแค่ไม่เชื่อเรื่องเทพธิดาอะไรนั่นเท่านั้น” แม้เขาจะแก้ตัวปากดีเช่นนั้น แต่ในใจเขาหวาดกลัวยิ่งที่จะให้ความหวังตัวเองอีกครั้ง
“ข้าไปดูมาแล้ว ผมของนางเป็นสีทองครึ่งหนึ่ง ผู้คนในโรงรักษาของนางล้วนประหลาด คนขาขาดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำ ข้าคิดว่า..นางควรค่าให้เจ้าคาดหวัง เจ้าควรลองไปพบนางดูสักครั้ง”
” ผมสีทองหรือ!” หงเจี้ยนหยางแปลกใจอยู่บ้าง
[1] ชาวหู หมายถึง ชนกลุ่มน้อยของจีนโบราณหลายเผ่ารวมกัน อาศัยอยู่ทางเหนือเป็นหลัก อากาศหนาว ใส่เสื้อผ้ารัดกุมกระชับทั้งแขนและขา หนวดเครารุงรัง ป่าเถื่อน ไร้ระเบียบ แต่ขี่ม้าเก่ง ออกรบดุดัน
[2] หนึ่งฉื่อ เท่ากับ 23-24 เซนติเมตร 9 ฉื่อ จึงสูงประมาณ 190 เซนติเมตรถึง 2 เมตรค่ะ
[3] เสวียนหู่ แปลว่า เสือดำ
[4] หนึ่งฉื่อ เท่ากับ 23-24 เซนติเมตร 6 ฉื่อครึ่ง จึงสูงประมาณ 156-160 เซนติเมตรค่ะ
