บทที่ 14 แกล้งนางร้าย
ครั้งก่อนอันเยว่ฉีทั้งถูกด่าถูกไล่จากฮูหยินผู้เฒ่า จนนางไม่อยากมาเหยียบจวนกั๋วกงอีก นางจึงทำใจถูกเหยียดหยามไว้บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าคนเดิมกลับกระตือรือร้นถึงขั้นมารอรับอนุต่ำต้อยผู้หนึ่งถึงประตูหลังจวน
“ฮูหยินผู้เฒ่า” อันเยว่ฉีย่อตัวทำความเคารพ
“ฮูหยินผู้เฒ่าอะไรกัน เรียกข้าว่าท่านแม่เถิด”
“เอ่อ..” หญิงสาวค่อนข้างจะงุนงงและปรับตัวไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ นางจึงหันไปหาผู้ว่าจ้างของตัวเอง
หงเจี้ยนหยางทำเพียงพยักหน้า เขาก็ถูกท่านแม่บังคับให้มายืนรออยู่หลังจวนด้วยกัน
“ท่านแม่” อันเยว่ฉีจำเป็นต้องเรียกตามความประสงค์ของผู้ว่าจ้างกระเป๋าหนัก นางไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะนางคือมืออาชีพ
“เด็กดี เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ” ผู้อาวุโสเอ่ยชื่นชมแม้จะไม่มีอะไรน่าชื่นชมสักอย่าง
“ข้าชื่ออันเยว่ฉีเจ้าค่ะ”
“ไพเราะยิ่งนัก”
“ที่นี่ดูยิ่งใหญ่และงดงามมากเจ้าค่ะท่านแม่ ยิ่งใหญ่และงดงามเหมือนท่านแม่” อันเยว่ฉีก็ไม่ยอมอยู่เฉย ในเมื่ออีกฝ่ายสรรหาทุกสิ่งมาชื่นชมนาง นางจึงสรรหาสารพัดคำเยินยอมาชื่นชมอีกฝ่ายบ้าง ทำตัวราวกับไม่เคยเห็นจวนนี้มาก่อน ทั้งที่ครั้งก่อนนางก็เคยเข้ามาแล้ว
“โธ่เอ๊ย ปากหวานเสียจริง ที่นี่เป็นจวนกั๋วกง ก็ต้องยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแก้มปริกับคำเยินยอ
“อะไรนะ! จวน..จวนกั๋วกง” อันเยว่ฉีตกใจ
“อะไรกัน นี่ลูกไม่บอกนางหรือว่าลูกมีฐานะอย่างไร” ผู้เป็นมารดาหันไปตำหนิบุตรชาย
“ข้า..” หงเจี้ยนหยางก็ลืมไปว่ายังไม่ได้บอกเทพธิดาเรื่องนี้
“ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ลูกคนนี้” ผู้เป็นมารดาแสร้งทำเป็นตำหนิ
อันเยว่ฉีรู้ว่าผู้ว่าจ้างของนางเป็นคนร่ำรวยกระเป๋าหนักและเป็นอดีตแม่ทัพ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าอ้วนนั่นจะเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่ง อันเยว่ฉีได้แต่พยายามปั้นยิ้ม ไม่กล้าต่อว่าสามีของนาง เช่นนี้ต่อไปนางคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะนางรู้ว่าพวกขุนนางยศสูงๆ สมัยก่อนบ้าอำนาจเพียงใด
“ดูสิ ข้าแก่จนเลอะเลือน มัวแต่ชวนพูดคุย เข้าบ้านเถิด เจ้าคงหิวมากแล้ว มาๆ ข้าได้เตรียมอาหารอย่างดีต้อนรับเจ้าแล้ว มีแต่สิ่งที่เจี้ยนหยางบอกว่าเจ้าชอบ” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบจูงมืออนุคนใหม่อย่างเอาอกเอาใจ
อันเยว่ฉีจึงงัดรอยยิ้มนักธุรกิจออกมา ทำราวกับยินดีกับการแต่งเป็นอนุ แม้ในใจจะหวาดกลัวว่าอาหารที่หงเจี้ยนหยางบอกว่านางชอบ อาจเป็นอะไรที่นางไม่รู้จัก แต่นางยังรักชีวิต จึงตัดสินใจว่าจะยอมเป็นสตรีไร้สมองในจวนของท่านกั๋วกงไปสักระยะหนึ่ง
บนโต๊ะอาหารที่มีเพียงสี่คน เต็มไปด้วยอาหารมากมายหลายชนิด อันเยว่ฉีอยากกินทุกอย่าง แต่กลับไม่กล้าหยิบอะไรกินเลย เพราะบรรยากาศชวนอึดอัดจนอาหารเสียรสชาติไปมาก
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ นี่เป็นหมูสามชั้นหมักชั้นดีจากร้านอาหารปี้ชางที่ท่านชอบเจ้าค่ะ” อนุเอ้อหลิงพยายามประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าอย่างออกหน้าออกตา คอยกีดกันอนุคนใหม่ทุกทาง
วันนี้เป็นวันแต่งอนุคนใหม่เข้าจวนกั๋วกง อย่างไรอันเยว่ฉีก็ต้องทำความเคารพอนุคนก่อนตามธรรมเนียม แต่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเอาอกเอาใจอันเยว่ฉีมาก พวกเขาจึงทำเพียงกินอาหารร่วมกัน ทำให้อนุเอ้อหลิงรู้สึกไม่ชอบใจ
อันเยว่ฉีดูท่าทางของอนุเอ้อหลิงแล้วรู้สึกเหมือนได้เห็นนางอิจฉาตามซีรีส์ที่เคยดู หากเป็นปกติหญิงสาวคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสตรีน่าอึดอัดเช่นนั้น แต่วันนี้นางเพิ่งได้ทองคำหนึ่งร้อยตำลึง นางจึงอารมณ์ดีมาก อยากจะร่วมเล่นงิ้วด้วยสักฉาก
“ท่านพี่ ท่านชอบกินผักผัดเต้าเจี้ยวนี่มากไม่ใช่หรือ มาข้าป้อนท่าน” หญิงสาวผมทองใช้ตะเกียบคีบผักสักอย่าง และยื่นไปที่ปากของหงเจี้ยนหยาง
ชายหนุ่มตัวโตทำได้เพียงมองอย่างตกตะลึง
“อะไรกัน นี่ลูกชอบกินผักตั้งแต่เมื่อไร” ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยความตื่นเต้น
“ไม่นานนี้เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเป็นคนสอนเขากินเอง ดีต่อร่างกายของเขาเจ้าค่ะ มา อ้าปากสิ อ้าา” นางตอบมารดา และหันไปคะยั้นคะยอสามี
“แค่กๆ อะแฮ่ม..เอ่อ” หงเจี้ยนหยางมองผักที่ยื่นมาใกล้จะถึงปากของตัวเอง เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าเทพธิดาผู้นี้อยากจะเล่นสนุกอะไรกันแน่ เหตุใดจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“เจี้ยนหยาง รีบอ้าปากสิลูก” ฮูหยินผู้เฒ่ายังช่วยคะยั้นคะยออีกคน
อดีตแม่ทัพหงทำได้เพียงอ้าปากและเคี้ยวผักขมที่เขาไม่ชอบสักนิด
“ท่านพี่ โตป่านนี้แล้วยังจะกินเลอะอยู่อีก” อันเยว่ฉีดัดเสียงจนเล็กแหลม
นางพูดคำประหลาดเหล่านั้นพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบว่างเปล่าบนหนวดเคราของหงเจี้ยนหยาง ทั้งยังเบียดตัวเข้าไปใกล้กล้ามแขนแน่นๆ ของเขาอย่างจงใจ ต่อให้ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่จะส่งสายตาดุเท่าไร หญิงสาวก็ทำเป็นไม่เห็น
ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขกับภาพตรงหน้ายิ่งนัก จนน้ำตาเอ่อล้นคลอเต็มเบ้าตา นางไม่เคยเห็นบุตรชายรักใคร่ใกล้ชิดหญิงสาวใดมาก่อนจึงตื้นตันเหลือคณา ส่วนอนุเอ้อหลิงได้แต่มองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บแค้น
‘เป็นไง คนมาทีหลังมันก็ดีแบบนี้แหละ..แกล้งคนอื่นมันไม่ดี แต่สะใจจริงๆ ฮ่าๆๆ เราเนี่ยเหมือนตัวร้ายเลยแฮะ’ อันเยว่ฉีคิดในใจแล้วรู้สึกเบิกบานอย่างยิ่ง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข
กุนซือจางยืนเฝ้าอยู่ใกล้ประตูห้องโถง แม้เขาไม่ได้เห็นทุกอย่าง แต่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน เขาได้แต่กังวลว่าอนุคนใหม่ร้ายกาจเช่นนี้ ไม่รู้ว่าต่อไปจวนท่านกั๋วกงจะวุ่นวายมากเพียงใด
ปัง! จู่ๆ ประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“อะไรกัน จวนกั๋วกงมีงานเลี้ยงสังสรรค์ แต่กลับไม่เรียกข้าหรือ” สตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างองอาจกล้าหาญ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยไพเราะจนชวนผู้คนหลงใหลอย่างประหลาด
ท่วงท่าการเดินของสตรีผู้นั้นงดงามจนไม่อาจละสายตา รูปร่างสูงโปร่งบาง แต่อกใหญ่เอวคอด สะโพกงอนได้รูป ในมือถือแส้ยาวเอาไว้ ปลายแส้ยังคงมีรอยคราบเลือดติดอยู่ ราวกับนางเพิ่งใช้แส้ฟาดใครมาไม่นาน ด้านหลังมีขบวนสาวใช้ตามมามากกว่ายี่สิบคน
