ตอนที่ 6
“อินอิน มองหน้าฉัน เฮ้ย!! มองหน้าแม่นะ” หลี่ต้าหนิงจับไหล่ของลูกสาวบีบเบา ๆ แล้วสบตาเธอ
“อื้ม”
“ต่อไปนี้ แม่จะดูแลอินอินเอง ลูกจะได้อยู่ดีกินดีอย่างที่ควรจะเป็น” หลี่ต้าหนิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
“ท่านแม่ ข้าก็อยากเชื่อท่าน แต่ที่ดินแห้งแล้งขนาดนี้เรายังอยู่รอดมาได้ก็ปาฎิหาริย์มากแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เด็กน้อยชี้ไปที่แผ่นดินแห้งแล้งตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย และแววตาที่ไร้ความศรัทธาในคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของผู้เป็นแม่
“มันต้องมีทางสิ อินอินเชื่อแม่นะ”
“มันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่อินอินจำความได้ เราไม่เคยได้อยู่ดีกินดีเลยนะท่านแม่” เด็กน้อยตอกย้ำความจริงอีกระลอก
“เอาน่า เชื่อแม่สักครั้งเถอะ ตอนนี้เรามีแรงแล้วเดี๋ยวแม่จะออกไปหาอะไรมาให้อินอินกิน” หลี่ต้าหนิงยืดตัวขึ้นตรงพลางมองออกไปนอกบ้านที่แห้งแล้งยิ่งกว่า
“ท่านแม่ แล้วอินอินล่ะเจ้าคะ”
“อื้ม แม่อยากให้อินอินรอที่บ้าน แต่ตอนนี้ความจำแม่แย่ยิ่งนัก คงต้องให้อินอินไปด้วยได้หรือไม่?” เธอหันไปถามลูกสาวตัวน้อย
“ได้สิเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมจับมือหลี่ต้าหนิงแน่น หลี่ต้าหนิงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง แม้จะยากจนข้นแค้นแต่อย่างน้อยก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ของเด็กคนนี้แหล่ะที่ทำให้เธอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อีกทั้งเธอยังไม่สามารถตายได้แน่ เพราะเธอต้องกลับไปอนาคตให้ได้
“ท่านแม่ไปเปลี่ยนชุดกันก่อนเถอะ เราจะไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านกันนะเจ้าคะ” เด็กหญิงแนะนำ
“เหรอ นั่นสินะ” หลี่ต้าหนิงเพิ่งก้มมองดูชุดของเธอ ถึงแม้จะไม่ได้สกปรกแต่ก็มอซอพอควร หญิงสาวแยกย้ายกับลูกสาวแล้วเดินกลับมาที่ห้องนอนที่เธอย้อนเวลามา ในห้องมีกระจกบานเล็ก ๆ อยู่บานหนึ่งพอให้ส่องสำรวจความงามของเธอได้อยู่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เตรียมพร้อมมองใบหน้าของร่างที่เธอเข้ามาอยู่ในตอนนี้ เธอหลับตาทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะเครื่องแป้งเก่า ๆ ที่มีเพียงหวีกับกระปุกเครื่องแต่งหน้า 2-3 อันเท่านั้น
(เอาล่ะ อย่างไรเสียก็เป็นร่างที่เราอาศัยอยู่ จะสวยหรือไม่สวยก็ไม่เป็นไรหรอก) เมื่อปลอบใจตัวเองได้แล้ว หลี่ต้าหนิงก็ค่อย ๆ ลืมตามองเงาที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ ทว่าเจ้าของร่างนั้นมีหน้าตาสะสวยไม่น้อยทีเดียว หลี่ต้าหนิงเอามือจับที่แก้มของเจ้าของร่าง แม้จะซูบไปบ้างเพราะคงขาดการทานอาหารที่ดี แต่เค้าโครงหน้า ดวงตา จมูกเป็นสัน และปากได้รูปเช่นนี้ ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าต้าหนิง งดงามมากแค่ไหนหากได้อยู่กินดีแบบคนปกติเขาบ้าง
“เอาล่ะ ไม่เลวเลย” ต้าหนิงเอ่ยชมเงาในกระจก เรื่องความสวยคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอเพียงกินอิ่มบำรุงนิดหน่อยเธอก็คงสวยได้ไม่ยาก ตอนนี้เธอต้องหาทางทำให้ร่างนี้อวบอิ่มให้ได้เสียก่อน
“เอ๊ะ! นี่มัน” ต้าหนิงหันไปที่ตู้เสื้อผ้าตั้งใจว่าจะเปลี่ยนชุด แต่สายตาดันไปสบเข้ากับกระเป๋าของเธอในโลกปัจจุบันพอดี หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวเหมือนกำลังวิ่งแข่ง เธอรีบคลานเข่าไปหากระเป๋าหนังสุดโปรดของเธอทันที
“ลูกรัก” เธอเอ่ยพร้อมหยิบกระเป๋าสีดำขลับขึ้นมากอดอย่างโหยหา แม้จะทะลุมิติมาที่นี่ได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างน้อยการได้เห็นของของเธอเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ก็เหมือนน้ำทิพย์ชะโลมใจที่ให้ความหวังว่าเธออาจจะเดินทางกลับไปยังโลกปัจจุบันได้นั่นเอง
“ท่านแม่ ท่านทำอะไรอยู่เจ้าคะ” เสียงของอินอินดังขึ้นพร้อมเดินมาหาต้าหนิงที่กำลังกอดกระเป๋าสุดรักไว้แนบอก
“เอ่อ....นี่เป็นกระเป๋าของแม่เอง” เธอเอ่ยพลางยื่นกระเป๋าหนังให้อินอินดู เด็กสาวจ้องมองกระเป๋าด้วยความไม่รู้
“นี่หรือกระเป๋า… ท่านแม่มีย่ามผ้าเก่า ๆ หนึ่งอัน นี่ไม่ใช่ของท่านแม่หรอกค่ะ” เด็กหญิงเอ่ย
“ใช่สิ แม่คงเก็บเอาไว้แล้วไม่ได้บอกอินอินต่างหาก” ต้าหนิงเอ่ยพร้อมเปิดกระเป๋าออกมา และก็พบว่าข้างในมีนิยายที่เธอยังอ่านไม่จบกับ....
“นั่นอะไรหรอเจ้าคะท่านแม่” เด็กน้อยขี้สงสัยเอ่ยถามถึงถุงกระดาษสีดำขลับที่ถูกยัดอยู่ในกระเป๋าอีกที
“นี่....เป็นของขวัญจ้ะ” หลี่ต้าหนิงแทบจะลืมไปเสียสนิทว่าก่อนเกิดอุบัติเหตุเธอเพิ่งได้ของขวัญมาจากอาจารย์มณีนิ่มนักเขียนชื่อดัง
“ของขวัญหรือ ท่านไม่เคยได้ของขวัญมาก่อนนะเจ้าคะท่านแม่” เด็กน้อยพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น เธออมยิ้มพลางนั่งลงข้าง ๆ หลี่ต้าหนิงทันที
“นั่นสิ สงสัยเทวดาจะให้แม่มามั้ง”
“ท่าจะใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านตื่นมาความจำไม่ค่อยดี แถมมีกระเป๋าหน้าตาประหลาดพร้อมของขวัญอีกด้วย” เด็กหญิงรีบสนับสนุนคามคิดของแม่ทันที
“ว่าแต่มันคืออะไรหรอเจ้าคะ”
“นั่นสิ มาดูด้วยกันดีมั้ย?” ต้าหนิงคิดว่าเธอควรจะเอาของขวัญชิ้นนี้ให้อินอินดูด้วยเช่นกัน เลยไม่ได้ปกปิดอะไรเด็กน้อย ต้าหนิงค่อย ๆ แกะกล่องของขวัญที่ได้รับมาอย่างเบามือ แต่เมื่อเปิดออกมากลับมีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดมากมาย วางเรียงอยู่ในนั้น
