ตอนที่ 5
“ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยดังอีกครา
“จ้ะ”
“ข้าหิวแล้ว ท่านทำอาหารให้ข้ากินหน่อยสิเจ้าคะ” เด็กหญิงเอ่ยด้วยแววตาออดอ้อน จนเรียกรอยยิ้มจากหลี่ต้าหนิงได้ในที่สุด
“ได้สิ ไปเราไปหาอะไรกินกันเถอะ” หลี่ต้าหนิงเอ่ยพร้อมจับมือเด็กน้อยที่ทำหน้าที่เดินนำหน้าเธอออกไปจากห้องนอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา เมื่อเดินพ้นออกมาจากห้องนอน หลี่ต้าหนิงจึงเห็นว่าบ้านที่เธออาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านขนาดเล็กค่อนกลาง มีโต๊ะกินข้าววางอยู่กลางบ้านเพียงหนึ่งตัว และเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องครัวแบบจีนโบราณที่เก่าครำครึ
“แล้ว...ปกติเรากินอะไรกันล่ะ” หลี่ต้าหนิงมองเข้าไปในครัวก็ได้แต่ตะลึง ไม่มีตู้เย็น ไม่มีไมโครเวฟ มีเพียงเตาฮังหลอเก่า ๆ ตั้งอยู่เท่านั้น
“เผือกต้ม ข้าวต้มเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงใสพร้อมตาเป็ประกาย
“ห้ะ กินแค่นั้นน่ะหรอ”
“อื้ม แค่นั้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หลี่อินอินเอ่ย
“ไม่ได้สิ มันอร่อยหรอ”
“ก็...แค่ไม่หิวก็พอนี่เจ้าคะ” เธอตอบตรงๆ
“.....” หลี่ต้าหนิงถึงกับพูดไม่ออก นี่เธอยากจนขนาดไม่มีของกินดี ๆ ให้ลูกเลยหรอ ไข่สักฟองหรือผักอย่างอื่นก็ยังดี หลี่ต้าหนิงมองไปรอบ ๆ ห้องครัว ค้นหาอาหารที่พอจะประทังความหิวของเด็กน้อยจนทั่วก็พบแต่ข้าวสารที่เหลือเพียงก้นหม้อ กับหัวเผือกอยู่ไม่กี่หัวเท่านั้น
“มีแค่นี้เหรอเนี่ย”
“ท่านแม่ รีบทำเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปจุดไฟให้” เด็กน้อยเร่งเร้าด้วยความหิวที่กำลังจะกัดกินกระเพาะของเธออยู่ร่อมร่อ เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหิวโหยขนาดนั้นหลี่ต้าหนิงเลยต้องตัดใจจากการหาวัตถุดิบและหันมาสนใจเรื่องการทำกับข้าวด้วยเตาฮังหลอก่อน โชคดีที่เด็กน้อยจุดเตาเป็นเธอเลยพอจะต้มข้าวและเผือกได้ แต่รสชาติก็ออกมาเลยขีดคำว่า “หมาไม่รับประทาน” นิดเดียวเท่านั้น เธอมองเด็กสาวที่กินอาหารในชามด้วยสีหน้าดีอกดีใจก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“อร่อยหรอ” หลี่ต้าหนิงถาม
“ไม่เลยเจ้าค่ะ แต่ก็ดีกว่าหิว” หลี่อินอินเอ่ยเสียงใสแล้วซดข้าวต้มเละ ๆ ใส่ปากต่อ
“ก็จริงเนอะ” หลี่ต้าหนิงจำใจกินอาหารตรงหน้าเสียก่อน เพราะหากเธอจะเอาตัวรอดให้ได้ ก็ต้องมีแรงเสียก่อน เมื่อสองแม่ลูกกล้ำกลืนอาหารในชามจนหมดก็เริ่มมีกำลังขึ้นมาบ้าง
“ข้าจะล้างจานให้เองเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเก็บชามของตัวเองและหลี่ต้าหนิงเข้าด้วยกันแล้วตรงไปที่ห้องครัวทันที
“อะอืม ขอบใจจ้ะ” หลี่ต้าหนิงรีบเอ่ยขอบอกขอบใจเด็กน้อยทันที เธอถือโอกาสนี้เดินออกไปสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้าน เพื่อหาวัตถุดิบมาใช้ทำอาหารเพิ่ม เมื่อเปิดประตูไม้เก่า ๆ ออกไป เธอก็พบว่าบริเวณบ้านของเธอนั้น แห้งแล้งราวกับอยู่ในทะเลทราย ก้าวไปทางไหนก็มองไม่เห็นแม้แต่ต้นหญ้าสักต้น หลี่ต้าหนิงยังนึกหวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดอย่างน้อยตรงนี้ก็น่าจะมีพืชผักอะไรให้เธอได้เอาไปทำอาหารให้ลูกสาวของเธอบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเมื่อเธอสำรวจไปรอบบ้านก็พบแต่ดินทรายที่แห้งกรังเท่านั้น
“เวร!” เธอสบทออกมากับตัวเอง
“ท่านแม่เจ้าคะ” เสียงใสเรียกหลี่ต้าหนิง เธอจึงต้องแสร้งยิ้มแล้วหันไปหาเด็กน้อย
“ว่ายังไง” เธอย่อตัวลงเพื่อคุยกับเด็กน้อยผู้น่ารัก
“ข้าล้างจาน และทำความสะอาดครัวเรียบร้อยแล้ว” เธอเอ่ย
“อินอินลูกเก่งมาก” เธอลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ พร้อมยิ้มให้
“แต่เย็นนี่เราคงไม่มีข้าวกินอีก จะทำอย่างไรดีล่ะท่านแม่” เด็กน้อยทำหน้าเศร้าเล็กน้อย บ่งบอกว่าที่ผ่านมาเด็กหญิงคงไม่ได้ทานอาหารครบสามมื้ออย่างที่ควรจะเป็น เมื่อพิจารณาขานาดรูปร่างผอมแห้งของเธอก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ความเป็นอยู่ของบ้านหลังนี้ได้ไม่ยาก
“เอ..แล้วพ่อล่ะ” อยู่ดี ๆ หลี่ต้าหนิง ก็เอ่ยถึงสามีของเจ้าของร่างขึ้นมา เพราะถ้าเธอมีลูกก็ย่อมต้องมีสามี อย่างน้อยเธอก็น่าจะหวังพึ่งพาสามีได้บ้าง
“ท่านแม่...ท่านพ่อไปสวรรค์หลายปีแล้วเจ้าค่ะ” อินอินเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“จริงหรอจ้ะ แม่ขอโทษนะ” หลี่ต้าหนิงรีบขอโทษเด็กน้อยทันที เธอดึงร่างเล็ก ๆ เข้ามากอดอีกครั้ง นี่เธอไม่เพียงแต่มีลูก แต่สามียังตายจากไปด้วยอีกหรอนี่ แล้วยังไงล่ะ ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปหาอาหารมายาไส้ครอบครัวได้กัน หลี่ต้าหนิงคิดในใจอย่างคับแค้น หากเป็นโลกปัจจุบันเด็กคนเดียวเธอคงเลี้ยงดูได้สบาย เพราะเธอมีการงานมั่นคง แต่ในยุคที่แม้แต่เผือกก็เป็นอาหารล้ำค่าเช่นนี้ เธอแทบมองไม่เห็นหนทางเลยว่าจะอยู่รอดไปอีกวันสองวันได้อย่างไร?
“ท่านแม่ เรื่องท่านพ่ออินอินทำใจได้นานแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เด็กน้อยสวมกอดหลี่ต้าหนิงแล้วค่อย ๆ ใช้มือเล็ก ๆ ลูบหลังเธอแทน
“....”
“ท่านแม่ต่างหาก เป็นอะไรมากรึเปล่า อย่าเศร้าไปเลยนะเจ้าคะ อย่างน้อยท่านแม่ก็มีอินอินอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเข้าอกเข้าใจผู้เป็นแม่อย่างดี และในฐานะผู้ใหญ่ที่แม้จะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเด็กก็ตาม หลี่ต้าหนิงก็อดละอายใจไม่ได้ที่ปล่อยให้เด็กน้อยตัวเล็ก ๆ เช่นนี้มาปลอบใจ
