ตอนที่ 8 ซื้อเมล็ดพันธุ์
หยางฉิงเดินทางออกจากบ้านก็ช่วงสายแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่บ้านจะอยู่บ้านหรือไม่ นางมองเส้นทางเล็ก ๆ ที่ลัดเลาะผ่านหมู่บ้าน บ้านของนางอยู่เกือบท้ายหมู่บ้านและใกล้กับบ้านคนอื่นไม่กี่หลัง นางเดินไปตามเส้นทางสายเล็ก ที่คุ้นเคย สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวบ้านที่กำลังลงทำนา เนื่องจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปและเข้าสู่ฤดูทำนา
ระหว่างทางไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน นางทอดสายตามองวิวทิวทัศน์สองข้างทาง เห็นภูเขาหลายลูกตั้งตระหง่านอยู่ไกลออกไป แม้นางไม่เคยขึ้นเขา แต่เคยได้ยินเพื่อนที่ชอบปีนเขาเล่าว่าบนภูเขานั้นเต็มไปด้วยสมบัติจากธรรมชาติ ทั้งพืชสมุนไพรและผลผลิตป่าไม้ นางเองก็เคยคิดอยากลองขึ้นเขาสักครั้งเหมือนกัน
นางเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านโดยไม่รู้ตัว นางชะเง้อคอมองข้ามรั้วไม้ไผ่เข้าไปในบ้าน บ้านผู้ใหญ่บ้านเป็นบ้านดินสามหลังที่ต่อเชื่อมกันในรั้วไม้ไผ่เก่า ๆ ดูทรุดโทรมเล็กน้อย ‘ทำไมไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยนะ’ นางมองไปที่หน้าบ้านก็ไม่เห็นใคร
“ผู้ใหญ่บ้าน! มีใครอยู่บ้าง!” นางร้องเรียกเสียงดัง
ไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เขาดูอายุไม่ต่างจากนางนัก มีผิวคล้ำ รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าดูใจดี เขาคือลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน พี่หลี่อี้
“ข้าก็นึกว่าใครมาเรียกพ่อข้า ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง หยางฉิง ข้าได้ยินว่าเจ้าล้มหัวกระแทกพื้น ดีขึ้นแล้วหรือ?”
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณพี่หลี่อี้ที่เป็นห่วง” นางยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นว่าเขาอยู่บ้าน
“แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับพ่อข้า ถึงได้มาร้องเรียกเสียงดังเช่นนี้”
“ข้าขอเข้าไปคุยในบ้านได้ไหม ข้าร้อนจะแย่แล้ว” นางบ่นพลางปาดเหงื่อ แดดร้อนจนทำให้การยืนคุยหน้าบ้านช่างไม่สบายเอาเสียเลย
“เจ้าก็ไม่บอกตั้งแต่แรก มา ๆ เข้ามาในบ้านก่อน พ่อข้าอยู่ในบ้านนั่นแหละ ท่านเองก็อยากพบเจ้าเหมือนกัน”
“ลุงผู้ใหญ่บ้านอยากพบข้าหรือ?” นางขมวดคิ้วสงสัย “หรือเป็นเรื่องที่ข้าทะเลาะกับหลี่เจิงเมื่อวานนี้...”
“ไม่รู้สิ เจ้าทำอะไรไว้ล่ะ?” หลี่อี้แกล้งตอบทิ้งท้าย ก่อนจะเดินนำนางเข้าไปในบ้าน
นางเดินตามหลังพี่หลี่อี้มา พร้อมกับยอมรับชะตากรรมที่จะโดนผู้ใหญ่บ้านสอบสวนในวันนี้
นางเดินตามเขามาจนถึงโต๊ะหลังบ้าน ที่มีครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
“สวัสดีเจ้าค่ะ ลุงผู้ใหญ่บ้านกับท่านป้าหานหยุน” หยางฉิงทักทายด้วยความนอบน้อม
นางมองไปทางลุงผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีท่าทางดูใจดี อายุประมาณ 45 ปี เป็นชายผอมสูง หน้าตามีริ้วรอยแห่งวัย ผมของเขามีสีขาวแซมดำ ดวงตาเล็กตี ส่วนป้าหานหยุน เป็นผู้หญิงวัยกลางคนไม่แก่มากนัก นางเป็นคนตัวเล็ก ผิวขาวเหลือง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านเป็นขาเม้าท์ประจำหมู่บ้าน เรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านรู้ ก็มาจากภรรยาเสียส่วนใหญ่ นางนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านมาเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังตลอด ผู้ใหญ่บ้านจึงทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ
“วันนี้ลมอะไรพัดเจ้ามาหาข้าได้ล่ะ” หลี่จงถามนาง เขาไม่เคยเห็นนางมาเรียกหาเขาสักทีถ้าไม่ได้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“ข้ามีเรื่องรบกวนผู้ใหญ่เล็กน้อยเจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมยิ้มกว้าง
“อืม… ว่าแล้ว ถ้าเจ้าหาเรื่องคงไม่มาหาข้าหรอก เจ้าจะมีเรื่องอะไรล่ะ หรือจะเรื่องเมื่อวานนี้กัน?”
“ท่านผู้ใหญ่บ้านรู้หรือ แต่ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นหรอก ข้ามีเรื่องอื่นต่างหาก”
ผู้ใหญ่บ้านหลี่เอียงคอ คิ้วของเขาขมวดครุ่นคิดถึงเรื่องร้ายแรงที่นางจะมาให้เขาช่วย...
“งั้นก็พูดมาเถอะ ข้าขี้เกียจเดา” ผู้ใหญ่บ้านหลี่จงพูดพร้อมเอนหลังพิงเก้าอี้
“ข้าจะมาถามซื้อเมล็ดพันธุ์ผลไม้จากผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีพันธุ์ผลไม้หรือไม่” นางไม่ได้บอกว่าจะซื้อเมล็ดพันธุ์ของสิ่งใด
“อ่อ ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร แค่จะมาซื้อเมล็ดพันธุ์ เจ้าจะซื้อไปทำไม” นางไม่เคยปลูกพืชผักไม่ใช่หรือ
“ผู้ใหญ่บ้านคงเคยได้ยินเรื่องของข้าผ่านหูมาบ้าง ตอนนี้ข้ากลับตัวกลับใจเป็นคนดีแล้ว ข้าอยากปลูกผักผลไม้เอาไว้ขายและเอาไว้กินบ้าง ตอนนี้สามีของข้าก็นอนเจ็บอยู่บนเตียง ถ้าข้าไม่ดิ้นรน ข้าจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงปากท้องพวกเราสองคนล่ะเจ้าค่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านหลี่จงมองดูท่าทางการพูดของหยางฉิงที่ดูแปลกไป นางคงกลับตัวแล้วจริง ๆ เรื่องนี้เขาได้ยินมาจากชาวบ้านมาบ้าง ว่าหยางฉิงตั้งแต่หลังจากที่นางลมหัวกระแทกพื้น นางดูเปลี่ยนไปมาก ดูรักสามีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
หลี่จงพยักหน้าช้า ๆ มองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ดี ดี เจ้าคิดได้แบบนั้น ข้าก็ดีใจกับสามีของเจ้าด้วย เขาดูแลเจ้ามาตั้งมากมาย ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ต้องดูแลเขาให้มาก”
นางรับฟังที่ผู้ใหญ่พูดสั่งสอนนางมาด้วยความหวังดี
“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งที่นางต้องการหรือไม่ ข้านรู้มาว่าพี่หลี่อี้ก็ขายของไปตามแคว้นต่าง ๆ มีของแปลกใหม่มาขายตลอด ท่านพอมีเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ มาขายให้ข้าบ้างไหม” นางหันไปถามพี่หลี่อี้อีกครั้ง ไหน ๆ เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว นางจะได้ไม่เสียโอกาส
“ข้าน่ะมีไม่เยอะหรอก ถ้าเจ้ากล้าอยากซื้อก็ถือว่าวันนี้เจ้ามีโชคดี เพราะหลี่อี้กำลังจะเดินทางออกไปค้าขายในคืนนี้” หลี่จงบอกสิ่งที่นางอยากรู้
นางลูบอกด้วยความยินดี “ถือเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ แล้วพี่หลี่อี้ขายสิ่งใดบ้าง”
“เจ้าก็อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น เจ้าลองไปดูบนรถเกวียนของข้าดีกว่า ถามซื้อเมล็ดจากพ่อของข้าไปก็คงไม่มีของที่เจ้าต้องการหรอก”
“ถ้าไม่รบกวนพี่หลี่อี้มาก ข้าขอดูของที่ท่านเอาไปขายเสียหน่อย”
หลี่อี้เดินนำหยางฉิงไปดูบนรถเกวียนที่เตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้
“ข้าเห็นว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว จึงยอมให้เจ้ามาดูของที่ข้าเตรียมไว้”
หลี่อี้เดินไปที่กล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกมัดไว้ ในกล่องไม้ที่หลี่อี้เปิดออกมา มีเมล็ดพันธุ์พืชหลากหลายชนิดบรรจุในห่อผ้าพร้อมชื่อเขียนไว้ด้วยลายพู่กันจีน หยางฉิงกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น นางรู้ว่านี่จะเป็นก้าวแรกของนางในการเริ่มต้นชีวิตใหม่…
“ทั้งหมดนี้คือเมล็ดพันธุ์ที่มีใช่ไหม พี่หลี่อี้?” หยางฉิงมองดูห่อเมล็ดต่าง ๆ พร้อมอ่านชื่อแต่ละชนิด มือของนางค้นหาสิ่งที่ต้องการทีละห่อ นางพบเมล็ดแตงกวา ผักบุ้ง แตงโม องุ่น เมล็ดท้อ และเมล็ดดอกบัว นอกจากนี้ยังมีเมล็ดดอกกุหลาบ ซึ่งนางอยากได้ทั้งหมด
“เลือกของได้หรือยัง?” หลี่อี้ถามพร้อมมองหยางฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เขาไม่เคยเห็นนางในมุมนี้มาก่อน
“ข้าเจอสิ่งที่ต้องการหลายอย่างเลย แต่ไม่รู้ว่าท่านขายเมล็ดพันธุ์พวกนี้ราคาเท่าไหร่” นางกังวลว่าเงินที่พกมาจะเพียงพอหรือไม่
“ข้าขายจินละหนึ่งก้วน ถ้าซื้อเป็นเหลียงก็หกอีแปะ เจ้าจะได้เท่าไหร่ล่ะ?”
ราคาดูไม่แพงเกินไป นางจึงตอบไปว่า “ข้าจะเอาเมล็ดแตงกวา ผักบุ้ง องุ่น แตงโม ลำไย ดอกบัว ดอกกุหลาบ และดอกหอมหมื่นลี้ อย่างละหนึ่งเหลียง ข้าขอลองปลูกดูก่อน ถ้าปลูกได้ดี ข้าจะมาซื้อกับท่านอีก”
นางพยายามประหยัดเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะเหลือเงินติดตัวไม่มากแล้ว
“ได้ ข้าจะห่อของที่เจ้าต้องการให้ แล้วเขียนชื่อไว้บนผ้า เผื่อจะหยิบใช้งานได้สะดวก” หลี่อี้เริ่มหยิบจับเมล็ดพันธุ์ที่หยางฉิงเลือก มาชั่งและห่อใส่ผ้าดิบสีขาว
“ขอบคุณพี่หลี่อี้มากเจ้าค่ะ ถ้าพี่เดินทางไปแคว้นต่าง ๆ แล้วพบผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีเปลือกแข็ง ด้านในมีเนื้อสีขาว และน้ำรสอร่อย ช่วยนำต้นอ่อนหรือลูกแก่ ๆ กลับมาให้ข้าได้ไหม?”
“เจ้าหมายถึงต้นสูง ๆ มีสีเขียวกับน้ำตาลเวลาแก่ใช่หรือไม่? ข้าเคยเจอมันทางตอนใต้ของแคว้นหนาน ถ้าข้าไปถึงที่นั่นจะลองนำกลับมาให้” หลี่อี้ตอบพลางนึกถึงผลไม้นั้น ซึ่งเขาเคยนำมาขาย แต่ไม่มีใครรู้จักวิธีกินจึงเลิกนำมา ผลไม่ชนิดนั้นต้องปลูกในเมืองร้อนถึงจะขึ้น ไม่คิดว่าภรรยาของหลี่เซิงจะมีความรู้กว้างไกลเช่นนี้
ผู้ใหญ่บ้านหลี่จงที่ยืนฟังอยู่ สงสัยเพราะไม่เคยรู้จักผลไม้ชนิดนี้มาก่อน “เจ้ากินผลไม้นั้นมาก่อนหรือ หยางฉิง?”
“ข้าเคยกินตอนเด็ก พ่อของข้าเคยสอน” นางโกหกไปเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
ทั้งสองพยักหน้าเข้าใจ “เอาไว้เจ้าปลูกมันได้ ก็สอนวิธีกินให้คนในหมู่บ้านเราบ้าง” หลี่จงกล่าว แม้จะไม่คาดหวังอะไรมาก แต่หวังให้นางปลูกได้สำเร็จ แค่เพียงปลูกผักบุ้งต้นเดียวขึ้นเขาก็ดีใจมากแล้ว
“นี่ของที่เจ้าต้องการ ราคาทั้งหมดสี่สิบแปดอีแปะ” หลี่อี้ส่งของให้นางพร้อมรับเงินหนึ่งก้วน และทอนเงินให้ห้าสิบสองอีแปะ
หยางฉิงรับของพร้อมกล่าวลา “ข้ากลับก่อนนะท่านผู้ใหญ่บ้าน ยังต้องแวะเอายาให้หลี่เซิง ไม่อยากทิ้งเขาไว้นาน ๆ”
“เจ้ารีบไปเถอะ อย่าให้สามีของเจ้าคอยนาน” หลี่จงตอบ
นางกล่าวลากับครอบครัวผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง ขากลับนางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่นางซื้อมา นางโยนเอาไปเก็บไว้ที่คอนโดของนางทั้งหมด เงินที่เหลือก็ด้วย นางเก็บไว้ที่นั้นรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
นางเดินเร่งฝีเท้าไปบ้านหมอหลี่เทาและบอกเล่าอาการของหลี่เซิงให้ท่านหมอหลีเทาฟัง ท่านหมอจัดยาแบบใหม่ให้เอามาต้มให้หลี่เซิงกินอีกครั้ง หลังจากนั้นจ่ายค่ายาที่ติดค้างไว้ และรับยาสำหรับหลี่เซิงก่อนเดินกลับบ้าน ท่ามกลางแดดร้อนที่แผดเผา นางนึกอยากหยิบร่มจากคอนโดของตนออกมา แต่ก็ทำได้เพียงหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาดื่มให้พอมีแรงเดินต่อ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางเห็นประตูบ้านถูกเปิดและล้มระเนระนาด เสียง “เพล้ง!” ดังมาจากข้างใน นางรีบวิ่งเข้าไปด้วยความกังวล...
