ตอนที่ 9 บุกรุก
หยางฉิงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความร้อนรน ภาพที่นางเห็นคือหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังทำร้ายหลี่เซิง โดยที่เขาไม่ได้ตอบโต้กลับเลย
“กำลังทำอะไรน่ะ!” นางร้องห้ามพร้อมกับเข้าไปดึงหญิงวัยกลางคนนั้นออกมา
หญิงวัยกลางคนที่นางเห็นคือแม่สามีของนางเอง
จางเฟิงสะบัดมือไปมาเพื่อให้หลุดจากการจับของลูกสะใภ้ “มาเสียทีนะ! เจ้ามันตัวซวยจริง ๆ! ตั้งแต่มีเจ้ามาเป็นลูกสะใภ้ ชีวิตของครอบครัวข้าถึงได้เป็นแบบนี้!”
หยางฉิงมองแม่สามีที่ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่สามีถึงบุกมาที่บ้านนาง
“ถ้าข้าเป็นตัวซวย แล้วท่านมาที่บ้านพวกข้าทำไม? หรือว่าท่านแม่จะมาขอโทษแทนพี่หลี่เจิงที่บุกเข้ามาทำร้ายข้า?” นางยิ้มให้แม่สามีอย่างไม่เกรงกลัว เพราะอีกฝ่ายไม่เคยทำดีกับนางเลย แล้วนางจะต้องยอมทำไม?
“หลี่เซิง! เจ้าสั่งสอนเมียยังไง ทำไมมันถึงได้ปากกล้าเถียงข้าขนาดนี้! หรือว่าเจ้าให้ท้ายมัน!” จางเฟิงหันกลับไปด่าลูกชายที่นั่งอยู่บนเตียง
หลี่เซิงนั่งสงบนิ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าว่าท่านแม่กลับไปเถอะ อย่าให้ข้าหมดความนับถือท่านไปมากกว่านี้เลย ท่านแม่ควรรู้ตัวว่าทำอะไรกับข้าบ้าง และตอนนี้ข้ากับหยางฉิงแยกบ้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก ตั้งแต่วันที่ท่านแม่จะปล่อยให้ข้าตายเพราะไม่ยอมให้หมอมารักษาข้า”
จางเฟิงตวาดกลับทันที “เจ้าสองคนมันก็เหมือนกัน! แล้วข้าจะกลับบ้านได้ยังไง ในเมื่อเจ้ายังไม่จ่ายค่าหมอให้พี่สาวของเจ้าเลย! รู้ไหมว่าตอนนี้พี่สาวของเจ้าต้องนอนเจ็บปวดทรมานแค่ไหน! ทุกอย่างมันเป็นเพราะมัน!” นางชี้หน้าหยางฉิงอย่างเกลียดชัง
หยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!”
หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุด
จางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้านรู้ คนที่นางหาให้แต่งกับลูกสาวต้องไม่แต่งแน่ ถ้าหลี่เจิงไม่ได้แต่งกับคนนี้ พ่อของนางจะจับนางแต่งงานกับพ่อม่าย
จางเฟิงยืนกำมือแน่น ตาของนางเบิกโพลงด้วยความโกรธ “หึย!” นางโมโหมากที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
“จำไว้ ต่อไปนี้ถ้าพวกเจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องมาเรียกข้า!” จางเฟิงพูดจบกำลังจะเดินออกไป ยังไม่ทันพ้นประตูดี นางก็ได้ยินเสียงดังไล่หลังมา
“ข้าจะเป็นจะตาย ท่านแม่เคยสนใจข้าด้วยหรือ? ต่อจากนี้ท่านแม่ก็อย่ามาที่นี่อีกเลย ถือว่าลูกชายคนนี้ของท่านตายไปเสียเถอะ!”
จางเฟิงได้ยินเสียงของหลี่เซิง นางหยุดเท้าที่กำลังเดินด้วยใจที่รู้สึกสับสน แต่เพียงครู่เดียว นางก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองทั้งสองคนอีก
หยางฉิงเห็นบรรยากาศเศร้าหมองของครอบครัวหลี่เซิง นางรู้สึกสงสารเขา แต่ทันทีที่นางหันไปเห็นบาดแผลของหลี่เซิงที่มีเลือดไหลออกมา นางรีบพูดขึ้น
“ท่านทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมไม่ระวังตัวเองเสียบ้าง! ข้าจะไปเอายามาทำแผลให้ท่าน ส่วนเรื่องที่ท่านแม่พูดก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” นางพูดจบก็เดินออกจากห้องไป
หลังจากหยางฉิงเดินออกไป หลี่เซิงก็นั่งนิ่ง จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ‘อย่างที่นางบอก เขาควรปล่อยวางได้แล้ว ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง’
หยางฉิงกลับไปที่คอนโด หยิบสิ่งของที่ใช้ทำแผลออกมา แม้รูปลักษณ์ของมันจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าให้แผลของเขาติดเชื้อ นางได้เตรียมอุปกรณ์มาครบแล้ว จากนั้นจึงเดินกลับไปยังห้องของหลี่เซิง
“ข้ามาแล้ว ท่านเจ็บแผลหรือไม่?” หยางฉิงนั่งลงข้างเตียง แกะผ้าพันแผลออกจนหมด เมื่อเห็นว่าเลือดไหลออกมาไม่มาก นางก็โล่งใจ
“ยังดีที่แผลของท่านไม่เป็นอะไรมาก เลือดก็ออกไม่เยอะ แถมรอบ ๆ บาดแผลก็ยุบลงแล้ว แสดงว่ายาที่ท่านหมอให้มานั้นเห็นผลดี” นางก้มหน้าทำแผล พร้อมอธิบายให้เขาฟัง
หลี่เซิงนั่งอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง เขามองดูท่าทางเอาใจใส่ของนางแล้วรู้สึกดีกับนางมากขึ้นไปอีก เขาคิดว่า หากขาเขาเดินได้ เขาคงปกป้องนางได้มากกว่านี้
“ข้าจะล้างแผล อาจจะแสบนิดหน่อยนะ” หยางฉิงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบ ๆ บาดแผล จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดซ้ำอีกครั้ง นางไม่ได้ใส่ยา เพราะต้องรอให้บาดแผลติดกันดีก่อน จากนั้นจึงพันแผลที่ขาเขาจนเสร็จ
“ข้าทำแผลเสร็จแล้วนะ ระวังแค่อย่าให้โดนน้ำก็พอ” นางพูดพร้อมเงยหน้ามองหลี่เซิง และสบตาเขาพอดี นางรู้สึกเหมือนเขาสังเกตนางอยู่ตลอด นางทำตัวไม่ถูก หน้านางร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไปทำอาหารให้ท่านกินดีกว่า” นางรีบเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาเขา ไม่รอให้เขาตอบ นางรีบเดินออกจากห้องทันที
เมื่อมาถึงคอนโด นางเอามือจับที่หัวใจตัวเอง ‘ทำไมถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้กันเนี่ย’ นางคิดในใจ อาจจะเพราะตกใจจึงเป็นเช่นนั้น หยางฉิงยกมือเรียวตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะจัดอุปกรณ์ทำแผลให้เรียบร้อย
วันนี้นางตั้งใจทำอาหารปลอบใจหลี่เซิง นางเปิดตู้เย็น พบเส้นก๋วยเตี๋ยวสองถุงที่ยังไม่ได้กิน นางเทน้ำซุปลงหม้อ ตั้งไฟให้เดือด แล้วใส่เส้นบะหมี่ขาวลงในถ้วย
พอน้ำซุปเดือด นางเทมันลงบนเส้นที่เตรียมไว้ จากนั้นต้มไข่สี่ฟอง โดยให้ไข่ข้างในยังไม่สุกดี นางผ่าไข่เป็นสองซีก จัดใส่จานอย่างสวยงาม เติมหมูชิ้นเพิ่มเข้าไป เพราะนางเชื่อว่าการกินของอร่อยจะช่วยให้คนสบายใจขึ้น ‘ฝีมือของเราก็ดูน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย’ หลี่เซิงกินคงทำให้อารมณ์ดีขึ้น
เตรียมของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยางฉิงก็นำถ้วยก๋วยเตี๋ยวของหลี่เซิงไปให้ถึงในห้องนอน
หลี่เซิงตอนนี้ดูดีขึ้นมาก หลังจากได้ฟังคำพูดปลอบใจของหยางฉิง กลิ่นหอมจากอาหารลอยเข้ามาถึงหน้าประตูห้อง เขาสงสัยว่าวันนี้นางทำอะไรมาให้กิน เพราะกลิ่นหอมน่าลิ้มลองยิ่งนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารฝีมือของนางอร่อยทุกอย่าง
หยางฉิงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามา ในมือของนางถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวขนาดใหญ่ที่หามาได้จากในครัว
“ข้ามาแล้ว ท่านหิวมากหรือไม่ วันนี้ข้าทำอาหารสุดฝีมือเลยนะ เขาว่าการกินอาหารอร่อยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ท่านลองกินดูสิว่าอร่อยหรือยังขาดอะไรอีกหรือเปล่า” นางวางถ้วยอาหารไว้บนโต๊ะเล็กข้างตัวเขา
หลี่เซิงมองถ้วยอาหารในมือของนาง มันเป็นหมี่น้ำ แต่หน้าตาดูแตกต่างจากที่เขาเคยกิน ด้านบนมีทั้งเนื้อและไข่ ดูน่ากินจนอดไม่ได้ที่จะลองชิม
เขาตักก๋วยเตี๋ยวขึ้นมากิน พร้อมกับสายตาที่เหลือบมองหยางฉิงซึ่งจ้องเขาอยู่ไม่ห่าง
“ของเจ้าไม่มีหรือ?” เขาไม่ชอบให้ใครมานั่งจ้องตอนเขากินแบบนี้
“ของข้าก็มีเหมือนกัน” นางตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านกินแล้วถูกใจหรือไม่”
“ถ้าเจ้าคอยมองข้ากินเช่นนี้ ข้าก็คงไม่กล้ากิน ถ้าอย่างไร เจ้าก็เอาอาหารของเจ้ามากินพร้อมข้าดีกว่า” เขาพูดพลางรู้สึกเกือบหลุดปากว่าเหงา
“ข้ามากินพร้อมท่านได้หรือ? ท่านกินคนเดียวคงจะไม่อร่อยสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเอาของข้ามากินด้วย” หยางฉิงเดินกลับไปในครัว หยิบถ้วยก๋วยเตี๋ยวของนาง และนำจานใส่พริกกับน้ำตาลติดมือมาด้วย
“ข้ามาแล้ว ท่านชอบกินรสเผ็ดไหม?” นางถามด้วยความตื่นเต้น เพราะนางเป็นคนชอบกินเผ็ด
หลี่เซิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย “รสเผ็ดคืออะไร? มันเป็นแบบไหน?”
หยางฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง หรือว่าที่นี่จะไม่มีใครเคยกินพริกเลย? นางจึงพูดเลี่ยงไป “อ้อ...ข้าซื้อมาจากพี่หลี่อี้เมื่อครั้งไปหาผู้ใหญ่บ้านวันนี้ เลยได้ของแปลกมาหลายอย่าง พี่หลี่อี้บอกว่าสิ่งนี้กินได้ ท่านลองชิมดูก่อน”
นางใช้ช้อนปรุงรสในชามของตัวเองเพียงเล็กน้อย แล้วตักน้ำในถ้วยส่งไปตรงหน้าหลี่เซิง
หลี่เซิงมองช้อนที่อยู่ตรงหน้า ใบหูเริ่มร้อนขึ้นมา “เจ้าให้ข้ากินจากช้อนเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยเสียงเบา พลางหลบสายตา
“ท่านยังมาเขินอายอะไรข้าอีก? ตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ” นางพูดพร้อมหัวเราะ
เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น จึงอ้าปากรับน้ำซุปจากช้อน ความรู้สึกแรกคือเผ็ดร้อน แต่ก็รู้สึกถูกใจ
“เผ็ดมาก...”
“นี่น้ำ ท่านเพิ่งเคยกินครั้งแรก ควรกินน้อย ๆ ก่อน พอลิ้นของท่านชินแล้ว ค่อยเพิ่มปริมาณ” นางมองปากหลี่เซิงที่แดงขึ้นกว่าเดิมด้วยความเอ็นดู
เขารับน้ำมาดื่มแล้วค่อยดีขึ้น “ข้าควรเติมเท่าไหร่ดี? เจ้าช่วยเติมให้ข้าด้วย” เขายื่นถ้วยให้หยางฉิง
หยางฉิงตักพริกเพียงเล็กน้อย ใส่ลงในถ้วยของเขา “เท่านี้ก็พอแล้ว ท่านลองชิมดู”
ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวกันบนเตียงที่หลี่เซิงนอน พูดคุยกันบ้างเล็กน้อยระหว่างมื้ออาหาร
หลังจากกินเสร็จ หลี่เซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หยางฉิง วันนี้ข้าขอบคุณเจ้ามาก ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงรู้สึกแย่กว่านี้”
นางยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับ “ท่านไม่ต้องคิดมากหรอก เราสองคนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกนาน ข้าตั้งใจแล้วว่าจะทำให้ดีที่สุดในฐานะภรรยาของท่าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะไม่ทิ้งท่าน”
หลี่เซิงได้ฟังคำตอบของนาง ก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นวาปขึ้นในใจ…
