ตอนที่ 6 เป็นห่วง
หยางฉิงเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยความปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย วันนี้นางใช้แรงมากเกินไป ร่างกายนี้คงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนัก ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ เห็นทีต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้ว โชคดีที่ช่วงเช้าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีอากาศดีนัก นางจะหาอากาศบริสุทธิ์เช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกเล่า?
เมื่อเดินเข้ามาในบ้าน นางหันไปมองประตูห้องนอนของหลี่เซิง ‘ข้ายังไม่ได้เข้าไปเก็บของที่เขากินทิ้งไว้เลย’
หยางฉิงเคาะประตูสองครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
หลี่เซิงที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของนาง เขาเองก็มีเรื่องที่อยากถามอยู่พอดี เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดังมาจากหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“เข้ามาได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรอยู่”
สิ้นเสียงตอบรับ หยางฉิงเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง หลี่เซิงมองสำรวจใบหน้าของนาง ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับรอยมือแดงห้านิ้วบนแก้มซ้าย และคราบเลือดจาง ๆ บนริมฝีปากของนาง ‘นางถูกทำร้ายมาหรือ?’
“หน้าเจ้าเป็นอะไร? ใครทำร้ายเจ้า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้เขาจะไม่ได้ชอบนางนัก แต่เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายนางแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่ยินดีให้ใครมาทำร้ายคนของเขาเช่นกัน
หยางฉิงได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของเขา นางจึงตอบเสียงเรียบ “ข้ามีเรื่องนิดหน่อย ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้” นางไม่อยากให้เขาต้องมาห่วงใยเรื่องของนาง แค่ปัญหาของเขาเองก็คงหนักหนาพออยู่แล้ว
หลี่เซิงขมวดคิ้วแน่น ถ้าเขาคิดไม่ผิด คนที่กล้าทำร้ายนางคงมีเพียงพี่สาวของเขาเท่านั้น “พี่สาวของข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าหรือ?” เขาถามเสียงเรียบนิ่ง
หยางฉิงพยักหน้า “ใช่แล้ว นางมาที่บ้าน และมีเรื่องกับข้านิดหน่อยเท่านั้น” นางตอบเสียงเบา พลางสังเกตสีหน้าของเขา
“นางมากับพี่หลี่หยินหรือไม่? แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า?” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นกว่าเดิม เท่ากับว่าหยางฉิงถูกทั้งสองคนรุมรังแก ตัวนางเล็กกว่าทั้งสองคนมาก หากเป็นตอนที่เขายังเดินได้ เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแน่
หยางฉิงฟังเขาบ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นางอดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “ท่านเป็นห่วงข้าหรือ?” นางมองหน้าหลี่เซิงเพื่อรอคำตอบ
หลี่เซิงนิ่งไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ถึงข้าจะไม่ได้ชอบเจ้ามากนัก แต่ข้าก็ไม่ชอบที่จะเห็นเจ้าถูกผู้อื่นทำร้าย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าตอนนี้ข้าไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้ เจ้าก็ควรหาเรื่องให้น้อยลงหน่อย”
แม้คำพูดจะดูดุดัน ทว่าน้ำเสียงที่ลอดออกมากลับแฝงไว้ด้วยความห่วงใยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว...
หยางฉิงถูกสายตาคมดุมองกลับมา นางรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง ขนาดเขาเดินไม่ได้ยังดุถึงเพียงนี้ หากเขาเดินได้เล่า? เกรงว่าคงจับนางไปแขวนไว้บนต้นไม้แล้วเอาไม้ตีแน่!
“นางมาหาเรื่องข้าก่อน พวกนางเป็นฝ่ายเริ่มทุกอย่าง ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเท่านั้นเอง”
‘ข้าไม่ได้เริ่มก่อนเสียหน่อย! ก็ใครใช้ให้พวกนางมาว่าข้ากันเล่า?’
หลี่เซิงฟังคำอธิบายของหยางฉิงแล้วก็พอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ไม่นานนักท่านแม่ก็คงมาที่บ้าน หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้ เพราะท่านพ่อของเขาเป็นคนหน้าบาง หากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงห้ามพี่สาวกับหลี่หยินไว้
“เจ้าไปทำแผลเถอะ หากครั้งหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าก็มาบอกข้าได้ ถึงข้าจะยังเดินไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้เสียเมื่อไหร่”
เขาบาดเจ็บที่ขาก็จริง แต่สองมือของเขายังมีแรง!
หลี่เซิงก้มมองขาตัวเองก่อนถอนหายใจ ท่านหมอบอกว่าเขาอาจจะเดินไม่ได้อีก เพราะคมมีดที่ฟันลงมาโดนเส้นเอ็นโดยตรง แต่เขายังมีความหวังว่าสักวันจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง
หยางฉิงได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา นางเห็นประกายในแววตาของเขาดูว่างเปล่าไปชั่วขณะ คงเป็นเพราะเรื่องที่เขาอาจเดินไม่ได้อีก หรือหากเดินได้ก็อาจจะกลายเป็นคนพิการ ถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม…
‘ข้าจะช่วยเขาให้เต็มที่ก็แล้วกัน!’
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอเอาถ้วยจานพวกนี้ไปล้างก่อน” หยางฉิงกล่าวจบก็เดินออกจากห้อง ตรงเข้าไปในครัวเพื่อล้างจานจนเสร็จ
เมื่อเสร็จธุระ นางก็หายตัวกลับไปยังคอนโดส่วนตัว เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลและทายาลงบนบาดแผลที่มุมปาก
“โอ๊ย…เจ็บเหมือนกันนะนี่! พี่สาวของหลี่เซิงคนนั้น คงตั้งใจตีข้าเต็มแรงเลยสินะ?” นางบ่นพึมพำขณะทำแผล
เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ากล่องผ่าตัดยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด จึงเดินไปดูตรงที่วางไว้ ทว่าทันทีที่สายตาสบเข้ากับกล่องตรงหน้า คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน
“เอ๊ะ…ทำไมกล่องผ่าตัดถึงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม?”
หยางฉิงรีบเดินเข้าไปจับกล่องแล้วเปิดออกดู สิ่งของทุกชิ้นภายในยังดูเหมือนใหม่ ไม่ต่างจากตอนที่นางเพิ่งได้รับมันมา
“เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนเลย…”
นางวางกล่องผ่าตัดลงที่เดิม ก่อนเดินเข้าไปดูวัตถุดิบในครัวที่เคยหยิบออกมาใช้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้น
‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’
นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้
หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’
ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัว
หยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว หากนางหาเงินได้ จะสร้างรั้วบ้านให้ดีกว่าเดิม และจะไม่ยอมให้ใครมองเข้ามาในบ้านของนางได้อีก
นางเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้เล็ก ๆ ข้างลำธาร มันตั้งอยู่ริมธารน้ำใสที่ไหลผ่านบ้านหลังนี้ สายตาของนางเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันกลมโตส่องแสงเรืองรอง ลมเย็นพัดผ่านกาย พาให้นางรู้สึกเหงาขึ้นกว่าเดิม หยางฉิงมองออกไปนอกบ้าน เห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากเรือนใกล้เคียง กลิ่นดินชื้นและกลิ่นแม่น้ำลอยมาตามสายลม นางสูดหายใจลึก รับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด อากาศดีเช่นนี้ ไม่มีอีกแล้วในยุคที่จากมา…
ภายในบ้านตระกูลหลี่
หลังจากที่หลี่เจิงเดินกลับบ้านมาด้วยสภาพย่ำแย่ นางก็แสร้งวิ่งร้องไห้เข้ามา บ้านของนางเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ใหญ่โตกว่าบ้านอื่นในหมู่บ้าน เพราะสร้างขึ้นจากเงินที่น้องชายคนเล็กส่งมาให้ทั้งหมด
นางกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาท่านแม่ แล้วก็เห็นจางเฟิงกำลังนั่งต่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ที่โต๊ะด้านในเรือน หลี่เจิงไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปฟ้อง
“ท่านแม่!” นางร้องเรียกเสียงดัง
จางเฟิงหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพลูกสาวสุดรัก หลี่เจิงเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
“หลี่เจิง! เจ้าไปทำอะไรมากันแน่? ข้าให้เจ้าไปดูว่านังหยางฉิงตายหรือยังไม่ใช่หรือ ทำไมกลับมาในสภาพนี้?”
“ตายอะไรกัน! มันนั่นแหละที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ตาย ยังตีข้าอีกด้วย ท่านแม่ต้องไปจัดการมันให้ข้านะ!”
นางร้องฟ้อง น้ำเสียงแฝงความอาฆาต พลันเหลือบไปเห็นบิดาเดินออกมาจากตัวเรือน สีหน้าของเขาดูไม่พอใจนัก
ภายในบ้านหลังนี้ หากถามว่านางกลัวใครที่สุด ก็คงเป็นท่านพ่อ เพราะเขาเป็นคนที่ห่วงหน้าตาชื่อเสียงของตระกูลมาก
“ตอนนี้บ้านของเราแยกออกมาแล้ว เจ้ายังจะไปบ้านนั้นทำไม? วัน ๆ เอาแต่หาเรื่อง ถึงได้ไม่มีใครมาสู่ขอเช่นนี้!" หลี่เฉากล่าวเสียงเข้ม "อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้ายังไปวุ่นวายกับบ้านหลี่เซิงอีก! อย่าให้ชาวบ้านนินทามาถึงข้า! แค่นี้ข้าก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!”
“แต่ท่านพ่อ! ท่านไม่คิดจะทวงความเป็นธรรมให้ลูกเลยหรือ ท่านจะปล่อยให้นางหยางฉิงทำร้ายลูก…”
“หุบปาก! โตป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่!”
เสียงตวาดของหลี่เฉาทำให้หลี่เจิงสะดุ้ง นางรู้ดีว่าบิดาเป็นคนเคร่งครัดและหัวโบราณ เขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลมากกว่าสิ่งใด ทั้งยังไม่พอใจที่ลูกสาวของตนหาคู่แต่งงานไม่ได้
“ท่านก็พูดแรงเกินไปหรือไม่ ลูกของเรากำลังเสียใจนะ” จางเฟิงกล่าวขึ้น
“เจ้าก็เลิกตามใจลูกได้แล้ว! เลี้ยงกันแบบนี้ ถึงไม่มีใครมาสู่ขอไง เอาเวลาไปหาคนแต่งงานให้ลูกยังจะดีเสียกว่า!” หลี่เฉาหันไปทางภรรยา “ภายในเดือนหน้า เจ้าต้องหาชายหนุ่มมาแต่งกับนางให้ได้ ปล่อยไว้อีกไม่นานคงไม่มีใครเอาแล้ว!”
หลี่เฉาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินจากไป
“ท่านแม่ ดูสิว่าท่านพ่อพูดกับข้าเช่นไร! ท่านแม่จะไม่ไปจัดการนังหยางฉิงให้ข้าหรือ?”
จางเฟิงมองลูกสาวที่ร้องไห้ฟูมฟาย แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“เจ้าคิดหรือว่าข้าจะทำอะไรได้? เจ้าดูพ่อของเจ้าสิ คำพูดของเขาข้าจะขัดได้หรือ? ถ้าเรื่องบานปลาย เจ้าจะเดือดร้อนเสียเอง”
“แต่ท่านแม่...”
“ตอนนี้ เจ้าควรดูแลตัวเองให้ดี แต่งตัวให้สวยเข้าไว้ ข้าจะหาชายหนุ่มฐานะดีจากหมู่บ้านอื่นให้แต่งงานกับเจ้า ดีหรือไม่?”
พอได้ยินเช่นนั้น หลี่เจิงก็หยุดร้องไห้ทันที
“จริงหรือ? ท่านแม่ต้องหาคนดี ๆ ให้ข้านะ!”
ขณะเดียวกัน สายตาของหลี่เจิงก็เหลือบไปเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยืนก้มหน้าฟังพวกนางพูดกันอยู่
“พี่สะใภ้ จะยืนฟังพวกข้าอีกนานไหม?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“ไม่ได้ยินที่ลูกของข้าพูดหรือ? ไป! จะไปไหนก็ไปได้แล้ว! พวกข้าหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว ยังจะมายืนเอ้อระเหยอะไรอีก รีบไปทำอาหารเสีย!”
อู๋เจิงได้ยินคำสั่งของแม่สามี นางก็รีบเดินไปยังห้องครัว บางครั้ง นางก็อดอิจฉาน้องสะใภ้เล็กไม่ได้ อย่างน้อยหยางฉิงก็ได้แยกบ้านออกไป ไม่ต้องทนลำบากเช่นนาง…
