ep9
อ้อมแขนนั้นกระชับขึ้น น้ำตาแห่งความปลื้มปิติรินร่วงลงมากระทบกับแสงแห่งพระสุริยะ จึงวาววับดุจหยาดเพชร
“พระนระ มอบเพชรแรกให้กับเรา เป็นเพชรแรกที่จะทำให้เราก้าวสู่วณิชชาที่ยิ่งใหญ่ แม้สุวรรณภูมิจักไกลโพ้น หากที่นั่นมีเมืองพระกฤษณะ ข้าจะฝากเพชรแรกไว้ที่นั่น ให้เขาเปล่งแสงแห่งพระนระที่นั่น ข้าพร้อมจะเดินทางกับท่านแล้ว ท่านกษิณะ”
.......................................................................
เมืองท่า
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจราวนกกระจอกที่กำลังจะออกหากิน เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ทำให้คนบนเรือรู้ว่ายามเช้าได้เดินทางมาถึงแล้ว ร่างที่ผูกเปลไกวอยู่ท้ายเรือใหญ่ผงกศีรษะขึ้นมองรอบตัว แล้วต้องผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ขี้เกียจ ขี้เกียจ ขี้เกียจ” เสียงแจ้ว ๆนี่เองที่ปลุกให้เขาตื่น มันเกาะอยู่บนบ่าของผู้เป็นนาย
“นายท่าน มาตั้งแต่เมื่อใด” เสียงนั้นลนลานราวกลัวผิด
“ตามสบายเถิด ข้ามิได้เดินทางมาที่นครไชยศรีแห่งนี้มานาน ผู้คนยังคึกคักเช่นเดิมนะ สุชัย”
“นายขนอนใจดี มีคุณธรรมใครก็อยากซื้ออยากขาย เจ้าเมืองที่นี่ดีนัก เมืองของพระสมณโคดมก็เช่นนี้”
สายตาคมกริบตวัดขึ้นมอง แม้มิได้พูด แต่คนที่เพิ่งลุกจากเปลย่อมรู้ มิควรพูด
“ปากไม่ดี ปากไม่ดี ปากไม่ดี” เสียงเจ้านกบ้านี่อีกแล้ว นายท่านมิเคยว่า มีแต่มันที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขา
“วันนี้เราจักลงเรือ ทวนน้ำขึ้นไปยังอู่ทอง เจ้าจัดการให้เราด้วย”
“ขอรับนายท่าน”
คนร่างสูงโปร่งพยักหน้ารับ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้สุชัย คนเรือยกมือเขกศีรษะตัวเอง บ่นงึมงมในเรื่องไม่น่าพูด แล้วพลอยไปโกรธเจ้านกหลากสีตัวโปรดของผู้เป็นนาย สุชัยเดินสั่งการไปยังลูกเรือให้จัดเตรียมเรือสำปั้น และเรือบรรทุกสินค้าเพื่อทวนน้ำเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ สายน้ำเมืองนครไชยศรีคล้ายสาแหรก เส้นทางทางน้ำสัญจรสะดวกสบาย เขาเดินทางที่นี่หลายครั้งหลายคราเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า ระหว่างเมืองปัทมะและนครไชยศรี ส่วนพ่อของเขา เสนาสน์จะรับสินค้าจากเขาสู่เมืองทวายะและเดินสมุทรไปที่แคว้นกลิงคะ บ้านเกิดของเขา
สุชัย รู้ว่านายท่านนับถือองค์วชิระนารายณ์สูงสุด มหาเทพของครอบครัวนายท่าน ล้วนได้รับการบวงสรวงมิได้ขาด กระทั่งหัวเรือของตระกูลนายท่านยังมีการแกะสลักพระคเณศไว้ ด้วยเชื่อว่า จักคุ้มภัยในการเดินทาง หากแต่นายใหญ่ ท่านกษิณะก็มิได้ห้ามปรามหากผู้ใดจะศรัทธาต่อองค์สมณโคดม
สุชัยและลูกเรืออีกหกคน ลงเรือสินค้าที่จะขึ้นไปยังอู่ทอง เมืองในแผ่นดินใหญ่ โดยมีนายท่านร่วมเดินทางไปด้วย แน่นอนว่า ตลอดทางมีเจ้านกช่างพูดเกาะอยู่บนบ่าของผู้เป็นนาย ยังดีที่ไอ้เจ๋อมันไม่มาด้วย คงเฝ้าดงหมากพร้าวอยู่ที่ปัทมะ
“สวยจัง สวยจัง สวยจัง”
“เจ้าแก้ว เงียบเถอะ” เสียงดุเบา ๆ เจ้าแก้วก็บินขึ้นเกาะหลังคาเรือที่สานด้วยหวายโค้งเข้ากับกราบเรือทั้งสองข้าง
สุชัย ทันเห็นจังหวะนั้น จึงอมยิ้มแต่มิได้กล่าววาจา เจ้าแก้วรู้ว่ามีคนเยาะ จึงได้แต่ทำคอย่น และพองขนอยู่เช่นนั้น
“แดดแรงนัก เข้ากรงเจ้าเถิด” สุชัยเรียกเจ้าแก้ว ให้เข้ากรงที่สานด้วยไม้ไผ่ ภายในกรงมีน้ำและอาหารที่เตรียมไว้ กรงอยู่ภายในเรือมีหลังคาหวายให้ร่ม แม้จะมิได้ถูกกันนัก แต่เจ้าแก้วก็เดินเอื่อย ๆ ด้วยขาสั้นๆ ของมันมาที่กรง
“แม่คุณ บินมาก็ได้ ตะบิดตะบอยเดินเมื่อไหร่จักถึง” เสียงบ่นมาทันทีที่เห็นว่า เจ้าแก้วเดินทีละก้าว
“พูดมาก พูดมาก พูดมาก” นั่นประไร มันต่อประโยคได้อีก ใครช่างพูดว่า นกหลากสีพูดจาเรื่อยเปื่อย หากเลี้ยงดูมัน ก็อาจจะสงสัยว่า มันรู้ภาษาของเราหรือ
สุชัย มองค้อน มิได้สนใจเจ้านกหลากสีที่เดินต้วมเตี้ยมเข้าไปนอนในกรง แต่หันไปสนใจนายท่านที่กำลังมองรอบข้างอย่างสนใจ
“นายท่าน จักแวะท่าน้ำบ้านท่านเศรษฐีบราลี หรือไม่”
“เรืออีกลำไปส่งสินค้าแล้วมิใช่หรือ?”
“ขอรับนายท่าน”
“โมราส่งข่าวบอกข้า จักรอที่อู่ทอง เจ้ามิต้องแวะ”
“ขอรับนายท่าน” สุชัยส่งสัญญาณให้ลูกเรือเดินทางต่อ มิต้องแวะเข้าท่าบ้านท่านเศรษฐีบราลี
บ้านของเศรษฐีบราลีนั้น เป็นหมู่เรือนหลังใหญ่ด้านใน พื้นที่กว้างขวาง ด้านหนึ่งเป็นโรงเก็บสินค้าที่จะนำมาแลกเปลี่ยนและซื้อขาย ส่วนอีกด้านก็ติดลำคลองอีกฟาก เป็นเรือนของโมราบุตรชาย
“โรงเก็บสินค้าของท่านบราลีอีกฝั่งว่ากว้างขวางนัก แต่ยังมิเท่าโรงเก็บสินค้าของที่นี่นะขอรับนายท่าน”
คนเป็นนาย พยักหน้ายิ้ม
สุชัย ถอนใจ รู้ว่านายท่านพูดน้อย ชวนพูดก็ยังมิยอมจะพูดด้วย มิรู้ว่าเจ้าแก้วมันอยู่ด้วยได้อย่างใด เพราะเจ้านกหลากสีนั่น มันพูดทั้งวัน ยกเว้นตอนมันหลับ
“สุชัย คลองนี้ จระเข้ชุมนัก บอกลูกเรือใหม่ของเจ้าคัดท้ายดี” เสียงเตือนเบา ๆทำให้สุชัยรู้ตัวว่า รับคนเรือเข้ามาใหม่ พายเรือได้ คัดหางเรือเป็น หากแต่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับเส้นทางนี้ จึงตะโกนบอกกันโหวกเหวก
“ข้าลืมบอกนายท่านไปว่า ข้ารับลูกเรือมาเพิ่ม เพราะการค้าของนายท่านมีมากขึ้น นายใหญ่กษิณะท่านให้ว่าจ้างต่อเรือหลายลำ จำเป็นต้องรับ ต้องขอประทานโทษที่ข้ามิได้บอกนายท่าน”
สุชัยรีบมารายงานสิ่งที่คิดว่าตนผิดพลาด มากกว่านั้นนายท่านจดจำลูกเรือของตนได้ทุกคน จึงมิได้แปลกแต่อย่างใดหากนายท่านจะรู้ว่า ลูกเรือที่พามาด้วยนั้น เป็นลูกเรือใหม่
“การตัดสินใจบางส่วน เราให้เจ้าตัดสินใจ แต่ภายหลังการตัดสินใจแล้ว เจ้าควรบอกเรา มิว่าช้าหรือเร็วก็ต้องบอก มิเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายขึ้นได้หากข้ามิรู้ว่า ผู้ใดเป็นผู้ใด”
“ขอประทานโทษด้วยเถิด”
“ครั้งนี้ มิเป็นไร ครั้งหน้าขอให้เจ้าระวัง”
