ep 8
คาราวานวณิชชาของท้าวกษิณะ เดินทางรอนแรมจากเหนือจรดใต้ของฝั่งตะวันออก อันมีเส้นทางของพระแม่คงคานำทางดุจดวงประทีป เหล่าบริวารได้เสบียงแลทรัพย์เพื่อตั้งการค้าของตนยังเมืองสำคัญ อันหมายถึงในอนาคตจักเป็นเส้นทางการค้าของพระองค์
ล่วงไปปีเศษ เพชรแรกได้ย่างเท้าเต็มฝ่าเท้าเหยียบยืนบนพื้นทรายริมฝั่งแม่น้ำคงคา เสียงหัวเราะอันสดใสกับพี่เลี้ยงที่ล้อมหน้าหลัง เป็นภาพน่าเอ็นดู แต่ผู้เป็นแม่ก็ยังอดเศร้าใจมิได้
“เวรินทร์ ยามนี้เราเป็นคนธรรมดาสามัญ เหตุใดเจ้าจึงมิละทิฐิในใจเจ้า”
เสียงที่อยู่เบื้องหลังนั้น มิได้ส่อแววว่าเป็นทุกข์
“ข้าหาได้มีทิฐิในใจ จนอยากกลับไปเป็นเมื่อก่อน ยามนี้เราอยู่เมืองกลิงคะ อันมั่งคั่ง การค้ารุ่งเรืองมิได้อดอยาก ข้าเพียงพอต่อตนเองแล้ว”
“แต่มิพอ ต่อเพชรแรก”
“ท่านท้าว ท่านมิคิดห่วงอนาคตของลูกหรือ?” นางพ้อเสียงเศร้า
“เจ้าจำมิได้รึ เวรินทร์ เรามิได้หยุดอยู่แค่เมืองกลิงคะ เมืองแห่งพระกฤษณะตะวันออกนั้น คือที่หมายของเรา”
“ท่านหมายจักข้ามนทีสีทันดรฤๅ”
“เสนาสน์ นำความมาบอก มิกี่เพลาเรือเดินสมุทรของเราจักเสร็จสิ้น เราจะข้ามนทีสีทันดรไปด้วยกัน” เสียงเริงร่านั้น มิได้บ่งบอกถึงความทุกข์ แววตาที่มุ่งมั่นมิได้แสดงความเสียใจใด ๆ กว่าปีล่วงมา กษิณะ เป็นวณิชชาที่มีพวกพ้องมากมาย ด้วยความใจกว้างและเปี่ยมด้วยเมตตา ทั้งตลอดเส้นทางที่ให้บริวารทำการค้านั้น ได้รับผลกำไรและคืนให้กับกษิณะ นับเป็นกุศลอันเกิดจากทานของกษิณะโดยแท้
“ดูท่าน จักชอบชีวิตการเป็นวณิชชาเสียแล้ว”
น้ำเสียงส่อนัยประชดกลายๆ หากแต่กษิณะเพียงหันมายิ้ม ก่อนมองไปที่วชิระหรือเพชรแรก ด้วยสายตามุ่งมั่น รับรู้พระนางเวรินทร์หาทางขัดขืนที่จะมิยอมเดินทาง และในใจนางหวังคืนกลับอมริสา แต่จักไม่มีวันหวนกลับคืนเปอร์เซีย ด้วยนางถวายชีวิตนี้เพื่อท้าวกษิณะหมดสิ้นแล้ว
“ก่อนที่ข้าจักเป็นอุปราชเมืองอมริสา เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าข้าเป็นพ่อค้าวาณิช เล่นแร่แปรธาตุอยู่ในตลาด เหมืองของข้าให้รัตนะมากมีข้าจึงร่ำรวยและมีแบ่งปันให้กับผู้คน จนเจ้าพ่อสิ้น เจ้าพี่เสด็จขึ้นครองราชย์ ข้าก็ยังเป็นวณิชชา มิได้ห่างหายไปกับการค้าใดเลย เพียงแต่มีหัวโขนเข้ามาประทับสวมลงเป็นเศียรของข้าเท่านั้น บัดนี้ข้าถอดออกแล้ว เหลือแต่การเป็นพ่อค้าวาณิชที่เจ้ามิชอบ แต่เชื่อเถิดการค้าของข้า จักมิทำให้เจ้าต้องลำบากดอก”
ท้าวกษิณะ ร่ายยาวถึงความหลัง หัวโขนมันหนัก สวมไว้ก็ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก การเป็นพ่อค้าได้พบชีวิตผู้คนมากมาย นี่แหละชีวิตของกษิณะต้องการ
“ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน และจะมิถามอีก หากข้าตอบให้ข้าหายข้องใจ ข้าจักติดตามท่านไปโดยมิเกี่ยงงอน”
“เจ้ามีเรื่องใด เชิญกล่าวมาเถิด”
พระนางเวรินทร์ นิ่งอยู่ชั่วครู่รอให้บริวารห่างจากตน จนอยู่เพียงลำพังจึงกล่าวคำที่ติดค้างในใจมานานนัก
“หญิงสาวที่ถูกฉุดคร่า มิใช่เจ้าหญิงโกสุม พระขนิษฐาของท่าน หากแต่เป็นทาสของพระนาง แล้วเหตุใดพระสมุหกลาโหมจึงใช้เหตุผลนี้ล้มราชบัลลังก์ของพระเจ้ากวจะ”
“เหตุผลนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุผล เอาเถิดถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง เจ้าพี่ต้องการฉุดคร่าโกสุมจริง แลผู้ที่ช่วยโกสุมคือ พระสมุหกลาโหม การสับเปลี่ยนตัวก็เพื่อให้รู้ว่า ใจของเจ้าพี่คิดเช่นใด จึงกระทำการอันฉิบหายเช่นนั้น”
พระนางเวรินทร์ยกมือทาบอก พร่ำบ่นขอพรพระนารายณ์ให้ช่วยคืนสติ เพราะสิ่งที่ท้าวกษิณะพูดนั้น พระนางจับได้ว่าเป็นความโกรธที่เจืออยู่มาก
“เจ้าพี่ ฉุดพร่าหญิงสาวมากมายทั่วนครอมริสาและแคว้นใกล้เคียง สมบัติมากมีถูกนำไปปรนเปรอให้ครอบครัวของพวกนางโดยที่พวกนางมิได้เต็มใจ แต่เพราะอมริสายิ่งใหญ่จึงมิถูกรุกรานจากเพื่อนบ้าน หลายครั้งหลายคราที่ข้าเฝ้าเตือนเจ้าพี่ เพราะเกรงว่ามิเพียงแต่ต่างบ้านต่างเมืองจะเคืองขุ่น แต่ในเมืองที่มีพระสมุหกลาโหมกุมอำนาจอยู่ในมือในเวลานั้นก็จะหาเหตุได้ ข้าพยายามดึงอำนาจทหารจากพระสมุหกลาโหมกลับคืนโดยมิให้เขารู้ตัว หากแต่ไม่ทันการณ์....” น้ำเสียงนั้น นิ่งเงียบไป คล้ายขบคิดบางสิ่ง
“เหตุใดเล่าท่านท้าว เขารู้ตัวเสียก่อนกระมัง”
“มิใช่....เป็นเพราะเจ้าพี่ เหิมเกริมคิดจะทำอนาจารล่วงเกินต่อขนิษฐาตนเองต่างหาก โกสุมมิใช่ขนิษฐาต่างมารดา หากแต่เป็นขนิษฐาร่วมมารดากับพวกเรา เช่นนี้แล้ว ข้าจักกล้ามองหน้าผู้ใดในอมริสาได้อีก”
เมื่อต้องนำสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาบอกให้พระชายาล่วงรู้ ความเข้มแข็งที่ปิดงำไว้ยาวนานจึงทะลักทลาย ท้าวกษิณะยกหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ร่ำไห้ ความอับอายจากการประพฤติของผู้เป็นพี่มิอาจทำพระทัยให้ยอมรับได้
“เจ้าพี่ มิเคยสนใจราชการบ้านเมือง ข้ามิเคยท้อ กระทำแทนให้ทุกอย่าง เจ้าพี่ปลดทหาร เปลี่ยนตำแหน่ง ข้าต้องตามแก้ไข มิให้เขาเหล่านั้นเคืองขุ่น กระทั่งฉุดพร่าผู้หญิง เรื่องนี้สาหัสแก่ใจข้านัก ข้ามิอาจแก้ นอกจากมิอาจแก้ ยังกลับจะต้องสูญเสียความสัมพันธ์ของครอบครัวเราอีก เช่นนี้ข้ารู้สึกอับอายเจ้าเหลือเกิน อับอายต่อวงศ์ตระกูลที่กระทำการอันมิต่างจากเดรัจฉาน”
เสียงคร่ำครวญร่ำไห้นั้นยาวนานอยู่กับอ้อมกอดของพระชายา ผู้ที่บัดนี้มีเพียงนามว่า เวรินทร์ นางจะถอดยศศักดิ์เสียแต่วันนี้ เข้าใจแล้ว....ที่พระองค์เผชิญอยู่
“ข้าขอโทษ ท่านท้าว”
“เรียกข้า แค่กษิณะ”
“ท่านกษิณะ” เวรินทร์ยิ้มให้อ่อนโยน โอบกอดชายหนุ่มไว้ด้วยสงสาร เห็นใจ
“ข้าจะติดตามท่านกษิณะ ไปทุกหนทุกแห่ง มิว่าที่ใด มีท่าน จักมีข้าอยู่เคียงข้าง มิต้องมียศ มีศักดิ์ ขอเพียงมีท่าน ชีวิตของข้าจักมิลำบาก”
