ep4
“ถ้าจะให้ฉันบอก ฉันสันนิษฐานว่า มันเป็นเศษของขวดน้ำหอมของเปอร์เซียที่แพร่เข้ามาในยุคทวารวดี เมื่อพันกว่าปีก่อนแล้ว ก็คงเป็นเครื่องใช้ของสาว ๆ ในยุคนั้น เห็นไหมล่ะ ฉันว่าแล้ว ว่ามันต้องมีวัตถุโบราณแน่ ๆ ฉันถึงเสียดายไง เอ๊า เด็ก ๆ เรามีชิ้นส่วนที่น่าสนใจมาดูก่อนหน่อย” ดร.เจนพบ เรียกนักศึกษาเข้ามาเศษชิ้นส่วนที่ได้มาจาก พชร อย่างสนใจ
“เศษขวดน้ำหอมเปอร์เซีย เมื่อพันกว่าปี?” พชร ยังติดใจ
“ใช่ มีอะไรหรือ” ดร.เจนพบถามเพื่อนอย่างสงสัย พร้อมๆ กับเหล่านักศึกษาที่ล้อมวงมาดูเศษแก้วด้วยกันก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงนสนเท่ห์
“ฉันคิดว่า มันเป็นเศษแก้วพิเศษที่เคลือบกลิ่นพิเศษเสียอีก ถึงได้ติดทนทานนัก”
“จะมาเคลือบกลิ่นอะไร เศษแก้วพันปี มันจะมีกลิ่นหรือไง พ่อพชร”
“ก็กลิ่นนี่ไง กลิ่นคล้ายดอกกุหลาบ พวกคุณก็ไม่ได้กลิ่นกันหรือ?”
...............................................
เมืองอมริสา
โถงห้องกว้างที่เปิดโล่ง มองเห็นทิวเขาสลับสล้างอยู่ด้านเหนือ ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามาจนพัตราภรณ์ที่ห่มพันร่างของสตรีนางหนึ่งปลิวสะบัดไหว เท้าที่คล้องกระพรวนที่ข้อเท้าย่างเบา ๆ ออกมาที่ระเบียงเพื่อชื่นชมความงามในยามตะวันขึ้น สาหรี่ที่คลี่คลุมถักทอด้วยเส้นใยเนื้อดี ทั้งยังปักดิ้นทองระยับทั้งผืนผ้า ทำให้รู้ว่า หาใช่สตรีธรรมดาไม่ พระนางหันพักตร์ไปยังทิศตะวันออกแล้วคุกเข่าลงท่องบ่นกายาตรีมนตราก่อนแนบพระนลาฏแตะพื้น ที่แท้บริเวณแห่งนี้คือ เทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์
“โอม บู บูวา สะวาหา
ตัต สาวิทู วาเรนยัม
บาร์โก ดิวาสายาดีมาฮี
ดี โย โยนาปราโชดายาท”
“พระนางเวรินทร์ เครื่องบูชาเทพ และเครื่องบวงสรวง เตรียมพร้อมแล้วเพคะ”
ข้ารับใช้ทูลแล้วเลี่ยงหลบ
“รอก่อน เช้านี้ท้าวกษิณะ มิขึ้นมาด้วยรึ”
“ท้าวกษิณะ เสด็จไปเหมืองแต่หัวรุ่ง เห็นว่ามีการสำคัญเพคะ”
“เจ้าไปได้” พระนางเวรินทร์ เคลื่อนตัวออกมาจากระเบียงกว้าง ย่างบาทเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพผู้เป็นประธาน....องค์พระนารายณ์ แห่งไวษณพนิกาย
ร่างนั้นเคลื่อนช้า ค่อยย่างบาททีละคืบ หากแต่มิได้เรียกให้ผู้ใดประคอง คงมีแต่ข้ารับใช้หลบตามมุม หากมีสิ่งใด จักสามารถช่วยเหลือได้ทัน
“เจ้าตามไวทยะมาหาข้าหรือยัง”
“รออยู่ด้านนอกพระเจ้าข้า”
“รอข้าถวายเครื่องบวงสรวงแลสวดมนต์แด่องค์พระนระสักครู่เถิด ข้าอยากสวดมนต์ก่อนที่ลูกข้าจักบังเกิด เพราะลูกของข้าคือบุตรแห่งพระนระ เจ้าคิดอย่างข้าหรือไม่”
พระนางหันไป ถามข้ารับใช้คนสนิทที่อยู่เยื้องหลังไม่กี่ก้าว
“โอม หริ โอม ใช่แล้วเพคะพระนาง” ข้ารับใช้ ยอมือขึ้นท่วมหัว ท่องมนต์สรรเสริญพระนารายณ์ก่อนตอบ
องค์พระนารายณ์ถูกจัดอยู่บนบัลลังก์ทอง มีเครื่องหอมบูชาอยู่ไม่ขาด ถาดทองเครื่องบูชา บวงสรวงละลานอยู่เต็มตั่ง พระนางเวรินทร์ก้มกราบ ขยับท้องที่อุ้ยอ้ายไปมา พลางถอนหายใจ
“ให้แม่ได้สวดอ้อนวอน ต่อพระนระท่านก่อนนะลูก อย่าดิ้นให้ต้องกังวลเลย”
โอม พระนารายะณะราชะ นามะ อุปาทะวะตายะ จัตตุ
ครุฑาพหนะนายะ หะระติ ทิสะฐิตายา อาคัจฉันตุภุญ ชะตุ ขิปายะตุ
วิปปะยะตุ สะวาหะ สะวาหายะ สัพพะอุปาทะวะ วินาสายะ สัพพะอุปาทะวะ วินาสายะ
สัพพะ อันตะรายะ วินาสายะ สุขขะวัฑฒะโก โหตุ อายุ วัณณะ สุขะ พะลัง
อัมหากัง รักขันตุ สะวาหะ สะวาหา สะวาหายะ
เสียงสาธยายมนตราแห่งพระนารายณ์ ดังขึ้นแผ่วเบา โดยมีพราหมณ์ผู้กระทำหน้าที่สวดนำขึ้น กาลผ่านเพียงก้านธูปดับ พิธีจึ่งเสร็จสิ้น หากแต่พระนางเวรินทร์ในยามนี้ ต้องกวักมือเรียกข้ารับใช้ช่วยพยุงตัวลุกขึ้น
พราหมณ์ผู้กระทำหน้าที่ เยื้องกายเข้ามาหา ยื่นมือที่แตะน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพิธีไปประทับบนพระนลาฏของพระนาง กล่าวมนตราอวยพรแล้วยิ้มอย่างการุณก่อนเดินออกไปด้านหลังเทวสถาน
“สีวิกา เตรียมพร้อมเถิด พระนางใกล้ประสูติพระโอรสแล้ว” เสียงเรียกของนางกำนัล ไม่เบานัก ด้วยตื่นเต้นแลตกใจ
ไวทยะ เร่งรีบตามเข้ามาดูแล เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมาก วังของพระนางใกล้เพียงนี้ จึ่งขอให้พระนางอดทน มินานพระโอรสจักมากำเนิด
“แน่ฤๅ ท่านไวทยะ ข้าเกรงว่าพระโอรสจะประสูติเสียที่นี่ ด้วยพระนางเวรินทร์ มาสวดมนต์ขอพระโอรสให้มาบังเกิดกับนางทุกเช้าเช่นนี้”
“กระไรได้ แม่มณฑา น้ำคร่ำยังมิทันเดิน เป็นแค่เจ็บเตือนเท่านั้น อีกทั้งข้าดูฤกษ์ยามมาพร้อม ก็หาใช่เวลานี้ดอก”
“เจ้าสองคน จะเถียงกันอีกนานหรือไม่ ข้าเจ็บครรภ์นัก” เสียงระโหยแต่มีอำนาจตวาดเบาๆ ทั้งสองจึงลนลานขยับเข้าที่ สีวิกามาพร้อมรออยู่ด้านล่าง ข้ารับใช้ต้องประคองพระนางลงมาโดยมีสายตาของนางกำนัลใกล้ชิดคอยจับตาทุกฝีก้าวอย่างเป็นห่วง
..........................................
ท้าวกษิณะชักม้าเข้าสู่วังด้วยความเร็วปานพายุแต่นั่นไม่เท่ากับใจที่ล่องไปจนถึงที่ห้องประสูติแล้ว
“ไวทยะ โอรสฤๅธิดา” เสียงที่ตรัสออกมากังวานก้องไปทั่วโถงหน้าห้องประสูติ ยินเสียงเด็กแรกเกิดร้องแว่ว ๆ อยู่ในห้อง ท้าวกษิณะได้แต่ชะเง้อมอง ใจหนึ่งอยากดันบานทวารออกเพื่อเข้าไปหาพระชายาเสียให้หายคิดถึง .... คิดถึง ทั้งที่เมื่อก่อนรุ่งยังเคียงข้างกันอยู่ แต่คิดถึงนี้...เป็นความคิดถึงในแบบที่โหยหา ห่วงใย และท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกยินดี
“เชิญ เสด็จพระเจ้าข้า ท้าวกษิณะ” ลูกมือไวทยะ เปิดทวารทูลเชิญ เกือบจะพร้อม ๆ กับท้าวกษิณะยกหัตถ์ขึ้นเพื่อผลักเข้าไป
“โอรส ใช่หรือไม่”
“สมพระทัยแล้วพระเจ้าข้า” ไวทยะ ก้มลง เหล่านางกำนัลอุ้มโอรสน้อยส่งสู่มือผู้เป็นพระบิดา
“เจ้าเกิดมาวันดีนัก รู้หรือไม่ เจ้าเกิดมาพร้อมกับสิ่งใด”
