ep5
ท้าวกษิณะ ย่างบาทมายังแท่นพระบรรทมของพระชายาด้วยรอยยิ้ม อ้อมพระกรโอบกอดพระโอรสแนบกาย หากแต่หัตถ์อีกข้างวางของชิ้นหนึ่งลงบนพระหัตถ์ของพระชายา
“สิ่งใดฤๅท่านกษิณะ” เสียงถามแผ่วเบาราวเหนื่อยอ่อน หากแต่มีรอยยิ้มยินดีและปลื้มเปรม
“วชิระ ของขวัญจากองค์พระนระอย่างใดเล่า”
“โอม หริ โอม เจ้ามาพร้อมวชิระหรือลูกแม่ ช่างเป็นบุญเสียนัก”
“เวรินทร์ เจ้าจำได้หรือไม่ เราเคยให้ช่างสลักหินอันงามเป็นองค์พระนระ ข้าจักนำวชิระเม็ดนี้ ประดับที่มงกุฎบนเศียรของพระองค์ เทวรูปนั้น คือ วชิระนารายณ์ เทวรูปประจำตนแห่งโอรสข้า ผู้เป็นเพชรแรกของเมืองอมริสา”
คนสนิทของท้าวกษิณะ อัญเชิญหินสีดำสนิทรูปลอยตัวขององค์พระนารายณ์สูงราวหนึ่งฟุต มีรอยสลักสำหรับประดับรัตนะที่ศิราภรณ์ส่วนด้านหน้า วางลงที่ตั่งข้างพระที่
“โอม นมัส นรายะ นะมะฮา”
“มิว่า อนาคตจักเป็นเช่นใด ฤๅเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตาม โอรสแห่งเราจักรุ่งเรืองดังแสงแห่งเพชรแรกนี้”
กษิณะ ชูพระโอรสขึ้นเหนือเศียรดังกล่าวอวยพร หากแต่พระนางเวรินทร์กลับสะท้อนในอก....เพชรแรกจะอยู่ที่ใดได้ หากมิใช่อมริสา หรืออนาคตจักเป็นเช่นใด
“มีสิ่งใดกังวล หรือน้องหญิง”
“เจ้าพี่ เหตุใดจึงอวยพรเช่นนั้น”
ท้าวกษิณะ นิ่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใด มีเพียงเสียงถอนใจเล็ก ๆ แล้วฝืนยิ้มให้กับพระชายาอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์เอื้อมโอบไปรอบพระอังสา จุมพิตที่เศียรด้วยรักใคร่ ใครจักรู้อนาคต เหมืองรัตนะสร้างรายได้ และสร้างศัตรู แม้บัลลังก์ใกล้แค่เอื้อม อาจถูกกระชากโดยมือที่เรามองไม่เห็น พรจากพระนารายณ์จักสถิตอยู่กับพระโอรส มิว่าลูกจะอยู่ที่ใด พระนารายณ์จะสถิตอยู่กับลูก เช่นเดียวกับ วชิระบนมงกุฎแห่งพระนารายณ์องค์นี้ .......................
“ท่านกษิณะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว สมุหกลาโหมที่เราเคยหวั่นในน้ำใจของมันผู้นั้น กระทำการอันทุรยศเสียแล้วพระเจ้าข้า”
“เกิดเรื่องขึ้นแล้วรึ เหตุไฉน จึงมิได้มีใครป้องกัน ข้าเตือนแล้วมิใช่รึ”
“พระราชา มิฟังคำท้วง ยามนี้ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ ข้าราชบริพารระส่ำย่ำแย่ ขณะนี้หลายคนเข้ามาออที่ประตูวังของท่านแล้ว”
“เช่นนั้น มินานทหารของสมุหกลาโหม คงมาถึงวังเราแน่”
“จักเสด็จหนีหรือไม่ พระเจ้าข้า”
“ข้าจักรอเจรจา เปิดวังรับคนเหล่านั้นเข้ามาเถิด”
ท้าวกษิณะ ทอดถอนพระทัย หนักใจนัก ครานี้หากเจรจามิได้ ย่อมหมายถึงการนองเลือดที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ทหารวังของท้าวกษิณะ แม้จะมีพอที่จะป้องกันตน แต่มิได้มากพอที่จะป้องกันคนที่แห่แหนมาอออยู่รอบวังเป็นแน่
“ท่านพี่ เกิดสิ่งใดขึ้นฤๅ” เป็นพระนางเวรินทร์ ที่ปรี่เข้ามาหาท่าทีตกใจมิน้อย
“สมุหกลาโหม ยึดอำนาจเจ้าพี่กวจะ เสียแล้ว”
“โอ้...มิน่าเลย”
“เราเตือนเจ้าพี่ มิรู้กี่คราครั้ง หากแต่พระองค์หาได้ฟังคำเราไม่”
“แล้วเช่นนั้น เหตุใดจึงมีผู้คนมาออถึงหน้าวังเรามากมายนัก”
“หนีร้อนมาพึ่งเย็น เป็นเช่นนั้นแล”
พระนางเวรินทร์ ครุ่นคิด วังท้าวกษิณะที่คิดว่าเย็นนั้นจะปกป้องคนเหล่านั้นได้หรือ.....ไฟลุกลามรุนแรงถึงขึ้นยึดบัลลังก์ มิใช่เรื่องเล็ก
“ทูลท่านท้าวกษิณะ ทหารของพระสมุหกลาโหม ส่งสาส์นมาแจ้ง ขอเข้าเฝ้า พระเจ้าข้า”
“เชิญเขาเข้ามา”
ทหารองครักษ์อันคุ้นหน้า คุกเข่าหน้าพระพักตร์ท้าวกษิณะ ผู้มีเมตตาและน่าเกรงขาม แม้พระยศยังเทียบเคียงราชาแห่งเมืองอมริสา
“มีเรื่องใดส่งถึงข้า”
“พระสมุหกลาโหม มีสาส์นกราบทูล ถึงท่านท้าวกษิณะ ผู้เป็นอุปราช บัดนี้กองกำลังของพระสมุหกลาโหมได้บุกยึดอำนาจ พระเจ้ากวจะแล้วจึ่งขอให้เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายทั้งสิ้นยินยอมเสียแต่โดยดี อย่าได้ปลุกระดมไพร่พลทหารลุกขึ้นสู้ จักเสียเลือดเนื้อโดยมิจำเป็นหรือมากกว่านั้น พระเจ้ากวจะอาจสิ้นพระชนม์เสียโดยง่าย”
ทหารองครักษ์ ลุกขึ้นคำนับท่าทีนอบน้อม มิได้กระเดื่อง
“มีสิ่งใดมากกว่าสิ่งที่กล่าวในสาส์น” ท้าวกษิณะ กล่าวเสียงเรียบราวรู้สีหน้ามิได้บ่งบอกอาการตระหนก
“พระสมุหกลาโหม จักขอเข้าเฝ้าเป็นการลับกับท่านท้าวกษิณะ”
“ที่ใด”
“ประตูช่องลับ พระนระเทวสถาน ก่อนตะวันจักตกดิน”
“เช่นนั้น เจ้าจงไปบอกกับพระสมุหกลาโหมเถิด ข้าจักไปพบ”
“เพียงพระองค์เดียว”
“ข้ารู้” ท้าวกษิณะพยักหน้ารับรู้ ทหารองครักษ์ พร้อมกำลังทหารมากฝีมือ ๕ นายคำนับถวายความเคารพก่อนหันหลังกลับไปอย่างอาจหาญ ท่ามกลางสายตาที่หวาดกลัวของผู้ที่อยู่ยังโถงห้อง การนี้ พระองค์จำต้องเสี่ยง เพื่อข้าราชบริพารและราชวงศ์ทุกพระองค์ การเจรจา มิอาจทำให้พระสมุหกลาโหมคืนอำนาจ หากแต่สามารถโน้มน้าวให้ทุกคนปลอดภัยโดยมิต้องเสียเลือดเนื้อ
ก่อนตะวันตกดิน ร่างที่คลุมผ้าขาวย่างเท้าเป็นจังหวะเนิบนาบ ราวปล่อยเวลาให้เคลื่อนผ่านไปอย่างช้า ๆ คล้ายจักเร่ง แต่ไม่เร่ง คล้ายจะช้า หากแต่ไม่ช้า ทิศทางมุ่งตรงที่พระนระเทวสถาน
“ขอถวายพระพร แด่ท่านท้าวกษิณะ ผู้เปี่ยมเมตตา”
“ท่านสมุหกลาโหม ขอบใจที่ยังนับถือเรา แม้เมื่อท่านขึ้นสู่อำนาจสูงสุดของพระนครนี้แล้ว”
“ท่านทราบดี เหตุที่ข้าต้องกระทำ”
“ท่านมีกำลังทหารในอำนาจมากล้น เจ้าพี่ไว้ใจเจ้ามากเกินไป”
“หาใช่เช่นนั้น ข้าจงรักและสำนึกบุญคุณล้นเกล้า”
“แต่เจ้าก็ยึดอำนาจจากท้าวเธอ”
“ท่านรู้เหตุดี”
เหตุที่ว่านี้ ถูกย้ำอีกครั้ง พระราชาผู้ไม่ประพฤติอยู่ในทศพิธราชธรรม ย่อมก่อความเดือดร้อนทั่วหย่อมหญ้า จักรวรรดิราชต้องมีคุณธรรมเกื้อหนุน หาไม่แล้วก็ยากที่จักครองใจประชา เจ้าพี่กวจะมัวเมาสุราและนารี ฉุดคร่าสตรีจากหัวเมืองมามากมายนัก เหล่าข้าบริวารใกล้ชิดล้วนแต่ใจคอฉ้อฉล สอพลอเพื่อให้ตนเองได้ดี มิคิดท้วงติงในสิ่งที่มิควร
“หากข้ามิกระทำ บรรดาหัวเมืองจักยาตราทัพเข้าสู่นครอมริสา มิแน่ว่าเราจักเสียเลือดเนื้อมากกว่านี้”
“เราแจ้งในเหตุแล้ว เอาเถิด มีสิ่งใดที่เจ้าอยากบอกต่อเรา เพื่อรักษาชีวิตของเจ้าพี่”
“ท่านย่อมรู้ในสิ่งที่ข้า จักกราบทูล”
