บท
ตั้งค่า

ep 7

“หรือนี่เป็น เหตุผลหนึ่งที่ท่านลงมือแย่งชิงบัลลังก์” เสียงครางในลำคอบอกถึงความเสียใจมากมายนัก

“มิได้เป็นเหตุผลหลัก” พระสมุหกลาโหมตอบเสียงเบาแต่สายตากลับมิได้กลัว ยังหาญกล้าเข้าตอบโต้

“ดี ข้าจักได้รู้ความจริง เจ้าพี่มิใช่กษัตริย์ที่ดีนักข้ายอมรับ หากแต่เมืองอริสา ก็ยังมีข้าปกครองให้ประชาราษฎร์อยู่ดีมีสุข จักมีก็แต่เรื่องหญิงสาวที่ถูกฉุดคร่าที่ข้ายังมิอาจแก้ปัญหาได้”

“หากท่านรู้ความจริงอีกข้อ ท่านอาจใช้เป็นเหตุผลหลักในการยึดบัลลังก์” พระสมุหกลาโหมสอดขึ้น

“เหตุผลใด”

“หญิงสาวที่ถูกฉุดคร่าครั้งสุดท้ายคือ พระขนิษฐาของพระองค์เอง”

............................................

กษิณะ นั่งสวดมนต์อยู่เบื้องหน้าพระนระ ค่อนรุ่ง จึ่งมีเสียงย่างเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา แต่เบาเพียงใดพระองค์ย่อมรู้

“ท่านพี่...”

“ข้ามิได้มีความหมายต่ออมริสาเสียแล้ว เช่นนั้นจึ่งแล้วแต่องค์มหาเทพ จักประทานพรแด่ข้า”

“เราจึงต้องเดินทางอย่างนั้นฤๅ” พระนางเวรินทร์กล่าวเสียงเบาแหบเครือ

“หนทางเดียวที่จักมีชีวิตอยู่ คือ เสด็จออกจากเมืองอมริสา” กษิณะ กล่าวคำ ก่อนขยับตัวเพื่อเผชิญหน้ากับพระชายา และเหล่าบริวารที่จักเตรียมเครื่องถวายบูชาทยอยเข้ามายังพระนระเทวสถาน

“น้องหญิง เจ้าอย่าเสียใจไปเลย มิว่าเราจักอยู่ที่ใด องค์พระนระย่อมคุ้มครองเราเสมอ”

“แต่ว่า...”

“อย่าได้ห่วงแหล่งรัตนชาติอันอุดมของเรา ที่นั่นคือสมบัติของเรา โกสุมจักดูแล เจ้ามิต้องกังวล”

พระนางเวรินทร์ หยักยิ้มเล็กน้อย นางมิรู้ว่า โกสุมจักดูแลการขุดหาหินสีประดับพวกนั้นอย่างไร ด้วยเป็นงานของบุรุษหาใช่สตรี

“เสนาสน์ เจ้าช่วยบอกเรา สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไร” กษิณะ เรียกหาคนสนิท ยามนี้สมองของเขาอื้ออึงจนคิดสิ่งใดแทบไม่ออก

“พระอนุชาต่างมารดาของพระองค์ทั้งสอง ถูกสังหารสิ้น คงเหลือพระกรณัช พระอนุชาของพระองค์ที่ทรงอยู่ทางเหนือหลบหนีไปได้ เจ้าหญิงโกสุมส่งคนไปตามแล้ว ยามนี้พักอยู่ที่คฤหัสถ์รัตนะ เหมืองคนงานของพระองค์ คาดว่าจักขอดูแลเหมืองเพื่อพระองค์ พระเจ้าข้า”

“กรณัช ปลอดภัยแล้วรึ ดีแล้ว ข้าจักได้เบาใจ คนอื่นเล่า”

“พระประยูรญาติของพระองค์ ที่ทรงหลบหนีมาอยู่ในวงของพระองค์ล้วนสบายดี เจ้าหญิงโกสุมทรงเข้าไปดูแลแล้วพระเจ้าข้า”

“สมบัติของข้า เหลือเพียงเหมือนรัตนแห่งนั้น เจ้าเตรียมเส้นทางเดินทางให้ข้าเถิด ใครจักใคร่เป็นวณิชชากับข้า ก็ออกเดินทางกับข้า หากไม่แล้ว ก็อยู่ภายในวังของข้า เจ้าหญิงโกสุมจักดูแลพวกเขาเหล่านั้นเอง”

เสนาสน์รับคำ นิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนน้อมตัวหายกลับไปทางเดิม

“เวรินทร์ เจ้ามากับข้าเถิด เรามาสวดกายาตีมนตรา ร่วมกัน”

กษิณะ เดินนำพระนางเวรินทร์ออกไปที่ระเบียง ซึ่งยามนี้ แสงแรกจากพระสุริยะ กำลังไต่ขึ้นขอบฟ้ากว้าง เพชรแรก เจ้าจักรุ่งเรืองยังเมืองแห่งนี้ได้ฤๅ…กษิณะ ใคร่ครวญ

.............................

กองคาราวานของพระกษิณะ ผู้ซึ่งตัดสินพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อเป็นวณิชชา ได้เคลื่อนออกจากเมืองอมริสาโดยมีชาวเมืองแห่แหนอาลัยร้องไห้ พระองค์ทรงโปรยทานให้กับชาวเมืองครั้งสุดท้าย เมื่อครู่ เจ้าหญิงโกสุม และพระสมุหกลาโหม เดินทางส่งเสด็จยังกำแพงเมือง สิ่งที่พระองค์รู้ พระเจ้ากวจะ และพระโอรสยังคงสุขสบายดี หากแต่ถูกกักบริเวณ ส่วนมหาราณี เก็บองค์อยู่ที่ตำหนักเดิม ขณะที่หญิงสาวที่ถูกคร่าตัวมานั้นถูกส่งกลับบ้าน พร้อมทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่เจ้าหญิงโกสุมเป็นผู้มอบให้

“ท่านสมุหกลาโหมแลพระนางโกสุม จักขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นหรือ?” พระนางเวรินทร์ที่นิ่งเงียบมานาน ตรัสถามกษณะ เมื่อต้องนั่งอยู่บนเกวียนร่วมกัน พร้อมโอรสน้อย ที่อายุเพิ่งจะเข้าขวบ

“มิใช่เช่นนั้น หากแต่เป็นพระโกฏิถกะ น้องชายต่างมารดาของเราอีกองค์หนึ่ง”

“ภายหน้ามิเป็นการยุ่งยากดอกรึ” พระนางเวรินทร์ท้วงถาม

“นั่นเป็นเรื่องของอนาคต เรามิได้อยู่ที่นี่แล้ว จึ่งมิใช่เหตุที่จะเข้าไปยุ่ง”

พระนางเวรินทร์ นิ่งเงียบ ก้มหน้ากอดโอรสน้อยไกวโยก หลับเถิดนะเจ้า... บัลลังก์อมริสา มิได้มีไว้ให้เจ้า แต่เพชรแรกที่เจ้าเกิดจักช่วยให้เจ้ามีความสุขกับชีวิตในเบื้องหน้า

เสนาสน์ แลครอบครัวบริวารหลายร้อยอพยพผู้คนมาตามเส้นทางตะวันออก เพื่อเลาะลำน้ำสินธุออกสู่แม่น้ำคงคา กาลนี้คงใช้เวลานานโขแต่เสบียงและสินค้ามีมากพอที่จะอยู่อีกหลายปีในเส้นทางที่เลือก

“ท่านท้าวกษิณะ เหตุใดจึงมิขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง” ผู้ชักม้าขึ้นเคียงสอบถามเสนาสน์คนสนิทท้าวกษิณะ

“ท่านให้คำสัตย์ จักมิขึ้นครองบัลลังก์อมริสา”

“แต่พระโอรสของท่าน เจ้าชายวชิระ ทรงมีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองบัลลังก์เหตุใดจึงยอมเนรเทศตัวเองเยี่ยงนี้”

“เจ้าอย่าวิพากษ์ไปเลย ท้าวกษิณะย่อมมีเหตุแลผลของท่าน ข้าเชื่อในปัญญาและบุญญาของท่านจึงติดตามมา ส่วนเจ้าหากมิเชื่อ จักล่าถอยไปเสียก็ได้” เสนาสน์พยายามตัดบท มิยากพูดให้มากความ

“หาใช่เช่นนั้น ข้าเพียงอยากรู้ มิเกี่ยวอันใดว่าจะติดตามหรือไม่ เพราะชีวิตข้านี้ พลีให้ท้าวเธอเสียแต่แรกแล้ว” ทหารอีกผู้โอดครวญ กลัวรุ่นพี่เคืองขุ่น

“เป็นวณิชชา เจ้าก็จักได้ร่ำรวย มิต้องตกเป็นทาส เป็นข้ารับใช้ วณิชชาเมืองไกลทางตะวันออก มีเมืองทวารกาของพระกฤษณะอยู่ด้วย เมืองนั้น ผู้คนล้วนเสรี มิได้แบ่งชั้นวรรณะเช่นที่เมืองอมริสา”

“เช่นนั้นรึ ท่านจึงออกเดินทางสู่แม่น้ำสินธุทางตะวันออกนี้”

เสนาสน์ยิ้ม เมืองทวารกา ทางตะวันตก เมืองของพระกฤษณะนั้น อยู่ใกล้กับเมืองอริสาและเป็นเมืองท่าออกทะเลเดินทางสะดวก ง่าย และมิเหนื่อยยาก หากแต่ในเส้นทางล้วนอันตราย ทั้งโจรป่า แลการปล้นชิงมีอยู่เสมอ ว่ากันว่านั่นคือ คำสาปแช่งของพระนางคานธี ที่ทรงโกรธแค้นพระกฤษณะที่ทำให้พี่น้องต้องสู้รบกันโดยมิได้แก้ไข ทั้งที่สามารถกระทำได้ คำสาปแช่งนั้นทำให้พี่น้องตระกูลยาฑพของพระกฤษณะต้องต่อสู้กันเองจนสูญสิ้นวงศ์ คงเหลือไว้แต่เมืองทวารกา ที่แม้จะเป็นเมืองท่าอันร่ำรวย หากแต่ตลอดเส้นทางที่จะนำพาไปนั้น อันตรายเกินกว่าที่จะเสี่ยง มนุษย์เมื่อกิเลสในใจพอกพูนก็ล้วนกระทำการอันต่ำช้าได้ เมื่อวัตถุเจริญขึ้นสูงสุด เมืองนั้นก็ย่อมมีคนใจคดเพราะมิอาจทนต่อเสียงกระซิบของพญามารได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel