ตอนที่ 3 ม่านฟ้า.. เธอเป็นคนจริงจังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ (1)
ตอนที่ 3 ม่านฟ้า.. เธอเป็นคนจริงจังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ (1)
คอนโด STAR2 ชั้น 27 ห้อง 2127
กระเป๋าใบหรูถูกโยนลงบนโซฟาในห้องอย่างไม่ได้สนใจราคาของมัน พร้อมทั้งถุงช็อปปิ้งมากมายถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี สองเท้าของฉันก้าวเดินตรงไปประตูหลังของคอนโดเพื่อจะเปิดผ้าม่านออกจนเห็นแสงสีของไฟไปทั่วทั้งเมืองที่เรืองรอง
“น่าเบื่อ!”
ฉันเปิดประตูกระจกออกมาด้านนอก สองเท้าเดินออกมารับลมด้านนอกสายตาทอดมองแสงสีของเมืองหลวงด้วยสายตาที่เรียบเฉย ถ้าถามว่าสวยไหมทุกที่ก็สวยอยู่ เพียงแต่มันก็มีดีแค่สวย ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
ติ๊ง! ติ๊ง!
ฉันหันหลังไปมองเสียงของข้อความจากมือถือ ก่อนจะเดินพาตัวเองกลับเข้าไปในห้องล้วงมือไปหยิบมันออกมาดูข้อความบนจอ
‘ว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันสวยไหม’ ฉันจ้องมองที่หน้าจอเห็นเป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นกำลังยิ้มหวานจนหน้าบานเป็นกระด้ง กับใบหน้าของผู้ชายอย่างเขาที่ดูมีความสุขราวกับได้เจอของถูกใจ
“หึ! มีความสุขเสียจริง!”
‘สวยค่ะ’
ฉันกดตอบไปแบบขอไปทีก่อนจะปิดหน้าจอแล้วโยนมือถือทิ้งไว้เตียง
ติ๊ง!
‘จำหน้าของว่าที่ลูกสะใภ้ฉันไว้ให้ดี แล้วทำหน้าที่ของเธอให้เรียบร้อยเก็บกวาดผู้หญิงคนอื่นให้เกลี้ยง นอกจากหนูน้ำตาลแล้วฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ตาเธียรเด็ดขาด!’
ฉันใช้หางตามองหน้าจอมือถือด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างจะโมโหอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเบะปากมองบนด้วยการไม่อ่านข้อความของคุณหญิงอมร
สองเท้าก้าวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวเพื่อทำให้ร่างกายและความรู้สึกฟุ้งซ่านนั้นเบาบางลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคุณหญิงอมรถึงต้องการให้ฉันมาเป็นเลขาของคุณปิติภัทร ทั้งที่ฉันมั่นใจว่าคุณหญิงอมรรับรู้มาตลอดว่าฉันและลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาพวกเราเคยคบหาดูใจกันมาก่อน
“คิดแล้วก็น่าโมโหชะมัด!”
*///*
“ม่านฟ้า! ผมหิวข้าวสั่งข้าวให้หน่อย”
ฉันใช้หางตาหันไปมองผู้ชายที่ยื่นหน้าออกมาจากห้องประธานบริษัทด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ก่อนจะหันกลับมาจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองอีกครั้ง อย่างไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก
“คุณได้ยินที่ผมพูดไหมเนี่ย! ผมบอกว่าหิวข้าวสั่งข้าวให้ผมหน่อย”
“ได้ยินค่ะ แต่ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงไม่ใช่เวลาทานอาหาร ต่อให้คุณเป็นประธานบริษัทคุณ ก็ควรจะทำตามกฎของบริษัท นี่ไม่ใช่เวลาทานอาหารนะคะ และไม่ใช่เวลาที่คุณไปประชุมงานเพราะฉะนั้นฉันจะสั่งให้คุณตอนเที่ยงอีกทีค่ะ”
“ม่านฟ้า! เธอจะเข้มงวดเกินไปแล้ว ก็ตอนนี้ฉันหิวถ้าฉันไม่ได้กินฉันต้องไม่มีแรงทำงานแน่ ๆ”
“เมื่อวานคุณก็ไปกินกับลูกสาวเจ้าสัวมาตั้งเยอะ ไม่อิ่มหรอคะ”
“หือ.. เธอแอบตามฉันไปหรอ”
น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความทะเล้นในคำพูด รับรู้ได้เลยว่าผู้ชายด้านข้างกำลังเดินออกจากห้องทำงานมายืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของฉัน
“หากคุณคิดจะรุ่มร่ามตรงนี้เกรงว่าจะไม่ดีนะคะ.. ถอยออกไปจากตรงนี้ด้วยค่ะ”
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย.. เมื่อวานเธอแอบตามฉันไปหรอ”
“ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องตามคุณนะคะ.. คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกินเยอะ”
“คุณลืมไปแล้วหรอคะว่าฉันเป็นคนเตือนคุณเรื่องการไปทานอาหาร หรือคุณจะบอกว่าคุณไม่ได้กินอย่างนั้นหรอ”
ฉันหันหลังไปมองผู้ชายคนนี้ด้วยใบหน้าของคนที่เหนือกว่า ที่กำลังแสดงให้เขาเห็นว่าไม่ได้คิดอะไรหรือรู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้น
“ใช่! เมื่อวานฉันไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักคำนอกจากไวน์แดง 2 แก้วเท่านั้น ตื่นเช้ามาก็รีบมาทำงานเพราะโปรเจกต์ใหญ่กำลังเร่ง เหตุผลนี้ฉันควรได้รับอาหารในตอนเช้าหรือยัง”
ฉันไม่รู้เลยว่าความรู้สึกของฉันคืออะไร มันปะปนไปด้วยความดีใจเล็กน้อยอย่างที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่พอนึกถึงภาพของผู้ชายที่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งที่คุณหญิงส่งมาก็ต้องทำให้หุบยิ้มอีกครั้ง
“คุณจะกินอะไร”
“ข้าวเหนียวส้มตำ”
“แน่ใจนะคะ”
“แน่ใจ”
“ได้ค่ะ”
*///*
“ที่รัก.. ยูเดินลงมาเอาข้าวที่สั่งรอบที่สี่แล้วนะ ยังไม่ถูกปากท่านประธานอีกหรอ”
เสียงของอันวาดังขึ้นทางด้านหลังที่เห็นว่าฉันนั้นเดินลงมาที่ฟอนต์เป็นครั้งที่สี่ และจริงอย่างที่เธอถามนั่นแหละ เหมือนกับว่าฉันกำลังโดนประธานบริษัทอย่างเขากำลังกลั่นแกล้งอยู่เป็นแน่
บอกว่าอยากกินส้มตำไก่ย่าง ฉันก็สั่งจากร้านหรูในห้างดังที่เขาว่ากันอร่อยที่สุดมาให้ก็ไม่ถูกใจ อยากกินอาหารง่าย ๆ อย่างอาหารตามสั่ง ฉันก็เลือกร้านดังก็บอกว่าไม่อร่อย อยากกินง่าย ๆ ขอเป็นก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟทะเลต้มยำน้ำข้นฉันก็สั่งร้านที่ดีที่สุดแพงที่สุดให้เขาก็ยังไม่พอใจ พอถามว่าอยากได้แบบไหนก็ทำหน้ามุ่ยเป็นปลาทูแม่กลองไม่ยอมตอบ
“แล้วนี่ประธานอยากกินอะไรอีกละ” อันวาชะโงกหน้าไปมองด้านนอก เห็นไรเดอร์เดินถืออาหารมาถาดใหญ่ทำให้เธอหันมองหน้าฉันนิ่ง
“พิซซ่า?”
“พิซซ่ามาส่งครับ”
“ไม่ต้องทอนนะคะขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นธนบัตรใบเทาให้กับไรเดอร์ก่อนจะเอื้อมมือรับถาดพิซซ่ามาไว้ในมือนิ่ง
“แล้วยูไม่รีบไปละ เดี๋ยวประธานก็โมโหหิวตายหรอก”
“ยังไม่หมด”
“ห๊ะ!”
ฉันหันไปยิ้มหวานกับเพื่อนสนิทที่ทำหน้างง ก่อนที่เธอจะทำตาโตเมื่อมองออกไปด้านนอก เห็นไรเดอร์ส่งอาหารอีกหกเจ็ดคนเดินถืออาหารต่อแถวเข้ามาในบริษัทด้วยท่าทางที่ประหม่าไม่น้อย
“เอาอาหารมาส่งครับ”
“วางด้านนั้นเลยค่ะ” ฉันเอ่ยกับพวกเขาก่อนจะยื่นธนบัตรสีม่วงให้พวกเขาคนละใบ รอจนไรเดอร์ออกจากบริษัทไปจนหมดอันวาวิ่งถลาเข้ามาดูของบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อสายตา
“ยูทำอะไรเนี่ย! ประธานจะกินหมดนี่เลย?”
“ไม่กิน”
“อ่าว! แล้วยูซื้อมาทำไมเยอะขนาดนี้”
“ไม่กิน.. ฉันก็จะยัดปากให้กินให้หมด!”
พูดจบฉันก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มหวาน ๆ ขอให้เพื่อนช่วยหิ้วอาหารทั้งหมดตามขึ้นไปด้านบน ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าของเขาแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“อันนั้นก็ไม่เอา! อันนี้ก็ไม่กิน! อันโน้นก็ไม่อร่อย! อันโน้นก็น้ำมันเยอะ! หึ่ย!! หงุดหงิด!”
ฉันบ่นอุบออกมาอย่างคนที่อัดอั้นทันทีที่เราทั้งสองเดินเข้ามาในลิฟต์ ปรายตามองอันวานิ่ง ๆ ก็เห็นว่าเพื่อนของฉันนั้นได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้
“ใจเย็น ๆ นะที่รัก”
“อือ.. เย็นอยู่”
“นี่เย็นแล้ว?”
“อือ.. เย็นแล้ว”
ติ๊ง!
