บทที่ 3 อย่าให้บ้า!
“ก็บอกว่าไม่แต่ง! ขอร้องนะถ้าไม่อยากให้ผมบ้าขึ้นมาก็อย่าโทรมาวุ่นวายกับผมอีก!!”
ร่างสูงในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวผมเผ้ารุงรัง มือหนากำโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายและเมื่อมันสั่นอีกทีเขาก็เขวี้ยงมันไปใส่กำแพงจนเครื่องแตกกระจาย
เสียงดังเมื่อครู่ทำให้ร่างเย้ายวนที่นอนในสภาพคว่ำหน้ารู้สึกตัวตื่น ก่อนจะเดินเปลือยกายมาสวมกอดร่างสูงจากทางด้านหลัง กลีบปากอวบอิ่มกดจูบไปบริเวณแผ่นหลังฝ่ามือลูบไล้อย่างปลุกเร้า
“หงุดหงิดอะไรแต่เช้าเลยคะ” เสียงหวานกระซิบชิดริมหูก่อนที่มือเล็กจะล้วงหายเข้าไปในสาบเสื้อคลุมอาบน้ำ
“กลับไปได้แล้ว” คำพูดไร้เยื่อใยยังคงไม่เท่าแรงสะบัดของชายหนุ่ม
“แล้วที่ตกลงว่าจะให้กลับไทยด้วยกัน...” เธอยังคงกอดรัดเอวสอบแน่นอ้อร้อด้วยน้ำเสียงกระเส่าเชิญชวน แม้มือหนาจะจับมือเธอให้ออกจากเอวสอบอย่างไม่แยแส บริพัฒน์หันหน้ามามองผู้หญิงที่เขาลากมาจากบาร์เมื่อคืน
“ฉันบอกให้ออกไป!” เสียงนั่นดังพอควรทำให้คนที่ตั้งใจจะพูดอะไรต่อถึงกับหุบปากเงียบไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกไป
“แล้วคุณจะติดต่อมาไหมคะ?”
“ไม่ เชิญ!”
ความรำคาญหงุดหงิดในดวงตาคมเข้มคู่ตรงหน้าทำหญิงสาวรีบกุลีกุจอเดินนวยนาดไปเก็บเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไว้ตามพื้นก่อนจะสวมใส่อย่างลวก ๆ และหยิบเงินปึกหนึ่งที่เขาวางไว้ให้บนหัวเตียงออกมาด้วย
สักพักเสียงเปิดประตูห้องนอนออกโดยไม่ได้เคาะ ชายหนุ่มเจ้าของห้องหันไปมองและเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ทำได้ก็คือยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด
บริพัฒน์ วิชภัทร ระบายลมหายใจที่มีแต่แอลกอฮอล์ออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินไปนั่งลงปลายเตียงมองโทรศัพท์ที่แตกกระจาย สุดท้ายก็เดินไปเตะซ้ำจนมันกระเด็นเข้าไปใต้เตียง
“ปัญญาอ่อนฉิบหายแล้วทีนี้จะทำยังไง ใช้อะไรติดต่อกับคนอื่น?”
“ทำไงก็เรื่องของกูเหอะ มึงออกไปก่อนกูอยากอยู่คนเดียว”
พายัพแค่นหัวเราะให้กับความโง่เง่าของเพื่อนสนิท ที่อยู่ ๆ ก็ฉุนเฉียวทำลายของ ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นโรงแรมในสิงคโปร์ เพื่อนเขาก็คงจะหยิบอะไรสักอย่างมาทุ่มทำลายเพื่อระบายอารมณ์
“แม่ป่วยก็ไปดูเขาหน่อย ยังไงเขาก็แม่มึง”
“ไอ้เหนือ…กูขอร้องนะ ทุกเรื่องในชีวิตกูมึงจะเสือกอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ โอเคนะ”
บริพัฒน์แหงนหน้าขึ้นไปสบสายตากับเพื่อน พายัพไม่ได้พูดอะไรแต่ยักไหล่กลับมาด้วยท่าทีกวน ๆ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบห้องและถอนหายใจ
“ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะ แดกเหล้าเมาทุกวัน ร่างกายเราก็ไม่ได้รุ่น ๆ แล้ว มึงจะไหวเหรอไอ้เบิร์ด”
พายัพที่เป็นคนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น แต่พอมาเป็นเรื่องของบริพัฒน์เพื่อนสนิทกลับปล่อยผ่านไม่ได้เลยทั้งที่เพื่อนในกลุ่มเราก็บอกว่าให้เจ้าตัวเป็นคนตัดสินใจ ให้รอซัปพอร์ตอยู่ห่าง ๆ แต่เพราะรู้จักไอ้เบิร์ดดี เขาจึงไม่ยุ่งไม่ได้
“ถ้างานกูไม่ผิดพลาดมึงก็ไม่ต้องเสือกมาพูดเรื่องนี้ กูรู้ว่ากูทำอะไรอยู่ กูไม่เคยยุ่งเรื่องของมึงเพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งเรื่องของกู” บริพัฒน์เอ่ยอย่างหงุดหงิดเพราะการที่โดนเพื่อนสนิทจี้จุดจนเหมือนจะหมดหนทางมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจนมุม
“เดี๋ยวนี้มีเรื่องของมึงเรื่องของกูด้วยสินะ” พายัพไม่ได้น้อยใจแต่พูดแบบนั้นให้เพื่อนคิดได้
“แม่มึงเป็นเนื้องอกในมดลูก…มึงเข้าใจความหมายของโรคนี้หรือเปล่า?” พอเห็นบริพัฒน์หลบสายตาพายัพก็ไม่ปลายเวลาผ่านไปเฉย ๆ ซ้ำให้ตรงจุด! แน่นอนว่าหัวใจร้าวราวแต่ท่าทีที่แสดงออกกลับเฉยชา
“ผัวแม่กูรวยขนาดนั้น เขาคงไม่ปล่อยให้แม่กูเป็นอะไรหรอก มึงเลิกพูดเถอะกูจะนอนปวดหัวฉิบหาย” บริพัฒน์พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พายัพมองร่างสูงใหญ่ของเพื่อนก็ได้แต่ถอนหายใจ
ถ้าไม่ติดว่าแม่มันต่อสายตรงมาหาเขา…พายัพก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องในครอบครัวของบริพัฒน์นักหรอก เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมาเนิ่นนานแล้ว
“ไอ้เหนือ…ทุกการตัดสินใจของมึงกูเคารพเสมอ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด กูไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ทุกทางที่มึงจะเดินไปนรกหรือสวรรค์กูก็จะไปกับมึง กูหวังว่ามึงจะคิดแบบนั้นเหมือนกันกับกู”
พายัพถอนหายใจหันเสี้ยวหน้าข้างหนึ่งไปมองคนที่นอนหลับตาแต่เอามือก่ายหน้าผากอยู่
“กูไม่ได้พูดให้มึงกลับไปคืนดีกับแม่ แต่กูพูดเพราะกูไม่อยากให้มึงต้องมาเสียใจทีหลัง ไม่ใช่แค่เรื่องแม่มึงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องหุ้นของพ่อมึง…” พอบริพัฒน์ได้ยินเช่นนั้นก็ลืมตาขึ้นมาและสบตาคนพูด
“แค่แต่งงานเอาหุ้นคืนก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกมั้ง กูเห็นดีด้วยนะเพราะทางนั้นก็ไม่เสียหายและไม่ใช่ผู้หญิงไม่มีสมอง ว่าที่เมียมึงเป็นคนทำงาน” คราวนี้พายัพจะลุกออกไปแต่บริพัฒน์หยัดกายที่นอนอยู่ลุกขึ้นมาคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน
“ทำไมมึงต้องเสือกเรื่องของกูด้วย?!” พายัพส่ายหน้าและสะบัดแขนตัวเองออกจากการจับกุมของเพื่อนสนิท เขาบิดขี้เกียจและสะบัดปลายเท้าเมื่อรองเท้าสลิปเปอร์เหยียบไปโดนเศษซากความสำราญที่มัดปากไว้ของบริพัฒน์
“เปล่า กูไม่ได้เป็นคนไปเสือก แต่ชาร์ลต่างหากที่เสือก มึงไปพิรุธอะไรให้มันจับได้” บริพัฒน์ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำพิรุธอะไรให้ชาร์ลจับได้ แต่ตอนนี้ชีวิตเขากำลังยุ่งเหยิงมาก ๆ ไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย ชาร์ลโทรมาและคงจับได้ในตอนนั้น
“นอกจากมึงจะประสาทเสียแล้ว กูก็ประสาทเสียเหมือนกัน” พายัพล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาให้เพื่อนดู
“โว้ยยยยย” เช้า กลางวัน เย็น หรือทุกเวลาที่แม่สามารถกดโทรศัพท์โทรออกมาหาเขาได้ แม่ก็จะทำอยู่แบบนั้น ทำเอาเขารู้สึกประสาทเสียและยังไปรังควานเพื่อนของเขาอีก!
