บทที่ 4 เข้าเรื่อง
ชาร์ล พายัพ บูรพา และ บริพัฒน์ เป็นเพื่อนสนิทที่ทำธุรกิจด้วยกัน บริพัฒน์รู้จักชาร์ลหลังทุกคน ด้วยการแนะนำจากพายัพที่พาเขามาทำงานในแวดวงสีเทาตั้งแต่มัธยมปลาย บริพัฒน์จึงมองชาร์ลเป็นเพื่อนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม
บริพัฒน์ทำงานเป็นลูกน้องสายตรงของชาร์ล คนอื่นพูดเขาอาจจะไม่ฟัง แต่ถ้าชาร์ลพูดเขาจะฟัง ที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเพื่อนคนนี้นี่แหละเพราะชาร์ลให้โอกาสและเชื่อใจ
คนอื่นจะมองว่าเขาเป็นลูกน้องชาร์ล แต่ความจริงในเรื่องงานหรือธุรกิจหากชาร์ลเอ่ยปากบริพัฒน์มีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่างแทนชาร์ล ด้วยเหตุผลนี้จึงเกรงใจเพื่อนคนนี้มาก
ธุรกิจที่บริพัฒน์ทำคือกาสิโนทั้งในและต่างประเทศ ไม่ได้มีแค่นั้นแต่มันมีอีกหลายธุรกิจที่ชาร์ลเป็นคนอยากทำและเขาเข้าไปขับเคลื่อนช่วยให้มันดำเนินไปได้ง่าย งานหลักที่บริพัฒน์ทำคือเจรจาเพราะชาร์ลไม่ถนัดในเรื่องของการเจรจา
ชาร์ลเปิดสาขาใหม่ที่ไหนหรือสนใจจะทำธุรกิจตัวไหนเพิ่มก็จะส่งบริพัฒน์ไปดูความเรียบร้อยที่นั่น เขาก็ไปทุกที่เพราะเป็นคนเดียวที่ไม่ติดในเรื่องของการเดินทางหรือการพักอาศัยที่ไม่เป็นหลักแหล่ง ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เขาชอบที่จะนอนโรงแรมมากกว่านอนที่บ้าน
ส่วนคนที่ชวนเขามาทำงานสายสีเทาก็คือพายัพ เขาจึงสนิทและพูดทุกเรื่องกับพายัพมากกว่าเพื่อนคนอื่น ไม่ใช่ไม่สนิทกับคนอื่นแต่มันจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่เราพูดกับมันได้ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เรื่องแม่ของเขาและการแต่งงาน...
บริพัฒน์เกิดในครอบครัวเจ้าของธุรกิจสื่อโฆษณาฐานะเรียกว่าร่ำรวยจนถึงขั้นเศรษฐี เขาเป็นเด็กเรียนเก่งเรียนดี แต่จุดหักเหในชีวิตคือพ่อมาเสียชีวิตด้วยโรคร้าย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ในตอนนั้นบริพัฒน์กำลังเรียนมัธยมปลาย และที่แย่ที่สุดไม่ใช่สูญเสียผู้เป็นพ่อ แต่เป็นการที่แม่ไปแต่งงานใหม่หลังจากพ่อเสียชีวิตได้เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น
คนที่แม่เลือกที่จะแต่งงานด้วยคือนักธุรกิจที่ทำงานเบื้องหลังควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน และผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ
บริพัฒน์เสียใจมากเพราะไม่เพียงแค่แม่ปันใจไปให้กับคนที่เป็นเพื่อนพ่อ ในขณะที่ยังไม่ครบร้อยวันของสามีเก่าด้วยซ้ำ แม่ก็ลงหลักปักฐานจดทะเบียนสมรสกันโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเขาที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียว
จุดที่บริพัฒน์เข้าหน้าแม่ไม่ติดและโกรธเคืองจนไม่กลับไปเหยียบที่บ้านอีก คือเมื่อพ่อตายหุ้นในบริษัทที่เป็นของพ่อจะถูกแบ่งครึ่งเป็นของภรรยาและลูกชายอย่างละครึ่ง
บริพัฒน์ที่รักแม่มากจึงโอนหุ้นส่วนที่ได้มาจากการตายของพ่อให้กับแม่ไป โอนไปโดยไม่คิดว่าแม่จะเอาส่วนนั้นไปยกให้คนอื่น
นอกจากคนเป็นแม่จะทำลายหัวใจของคนเป็นลูกด้วยการแต่งงานใหม่แล้ว ความช้ำใจและพลิกผันชีวิตบริพัฒน์อยู่ตรงนี้...
แม่ของเขา คุณมณีรัตน์ทำเรื่องยกหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับสามีใหม่เพื่อให้ผู้ชายคนนั้นเข้ามาบริหารบริษัทที่เป็นของพ่อเขา
‘วันหนึ่งแกจะรู้ว่าแม่ทำไปเพื่อใคร แม่ต้องแต่งงานกับคุณชัดนะเบิร์ดไม่งั้น…’
‘แม่ก็เป็นแค่ผู้หญิงที่สับปลับหลอกลวงคนหนึ่งก็เท่านั้น! แม่บอกว่ารักพ่อและสัญญาว่าจะไม่มีวันแต่งงานใหม่ วันนั้นผมก็อยู่…แต่สิ่งที่แม่ทำคือทอดทิ้งผมและพ่อไป!!’
‘ตั้งแต่วันนี้ไปผมจะเชื่อแค่ตัวผมเอง แม่อย่ามาทำเหมือนเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเลือก อย่ามายุ่งวุ่นวายกับผมอีก! เป็นแค่คนที่ทำให้ผมเกิดมา…แต่แม่ไม่มีสิทธิ์ในชีวิตผมอีกแล้ว จำไว้!’
งานที่บริพัฒน์ทำเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาทั้งหมด ประจำอยู่ไทยน้อยมาก เขาถนัดเรื่องการตลาดและ PR จึงได้รับมอบหมายจากเพื่อน ๆ ให้ไปทำต่างที่ต่างประเทศแทน เพราะหลายคนมีครอบครัวไม่สะดวกเดินทาง อันที่จริงเพราะบริพัฒน์ไม่อยากอยู่เมืองไทย ไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้
แต่ในตอนนี้แม่กลับกระหน่ำโทรมาอย่างคนที่ไม่ยอมแพ้ ทั้ง ๆ ที่เราจะเจอหน้ากันปีละแค่หนึ่งครั้งคือวันเชงเม้งที่ฮวงซุ้ยของพ่อเท่านั้น
ถ้าไม่ติดว่าต้องขุดสุสานรื้อกระดูกขึ้นมา เขาก็อยากจะย้ายพ่อมาไว้ใกล้ ๆ ไม่ให้แม่หาเจอเหมือนกัน แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าพ่อรักแม่มาก…
‘เบิร์ด…แม่ขอแกสักเรื่องได้ไหม แต่งงานกับหนูนิดเถอะนะ ถ้าแกตกลงแม่จะคืนหุ้นในบริษัทให้ลูกทั้งหมดเลย’
บริพัฒน์ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก แต่วันนี้เขาก็เดินเข้ามาภายในบ้านที่มันเคยมีแต่ความทรงจำที่ดีของเราสามคนพ่อแม่ลูก และเมื่อหางตาเห็นว่าใครเดินลงมาจากชั้นบนเขาก็ได้แต่แค่นยิ้ม
“ขอบคุณที่แกมาวันนี้…” เสียงแหบแห้งแต่ก็ยังคนทรงอำนาจของแม่ทำให้บริพัฒน์ต้องเหลือบสายตาขึ้นไปมอง
ชายหนุ่มไม่ได้ยกมือไหว้อย่างลูกที่ดีควรทำ แถมปากก็จะอ้าสาดคำร้าย ๆ ใส่เหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่พบกัน แต่เมื่อเห็นท่านชัดเต็มตาในตอนนี้ น้ำคำเหล่านั้นกลับจุกอยู่ในลำคอไม่หลุดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ช่วงนี้แม่ไดเอทน่ะน้ำหนักเลยลดกว่าช่วงต้นปีที่เราเจอกัน” สายตาของบริพัฒน์ตรึงร่างของคนเป็นแม่ไว้ เขากะพริบตาอย่างคนคิดไม่ตกก่อนจะเบนสายตาออกไปมองทางอื่นแทน
“มีอะไรก็พูดมาผมเหนื่อยอยากจะนอน” ท่าทีวางเฉยไม่ใส่อารมณ์ของคนเป็นลูก ทำให้แม่อย่างมณีรัตน์รู้สึกว่าความหวังที่ริบหรี่เริ่มมีแสง
“งั้นแกค้างที่นี่ไหม” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและแค่นหัวเราะในลำคอ เท่านั้นคนเป็นแม่ก็รู้ว่าต่อให้ต้องตายลูกชายคงจะไม่มีวันกลับมานอนที่บ้านหลังนี้...บ้านของเรา
“แม่เข้าเรื่องเลยนะ คุณชัดคืนหุ้นมาให้แม่ตั้งแต่สามปีก่อน...” คนเป็นแม่รู้ว่าไม่อาจจะรั้งลูกชายไว้ได้นาน และก็ดีมากแล้วที่บริพัฒน์ยอมเข้ามาหาเธอที่นี่
“เขาจะคืนหรือไม่คืน แม่ไม่ต้องมารายงานผม ที่ผมมาเพราะอะไรพูดเรื่องนั้นให้จบ!”
คนเป็นแม่เม้มริมฝีปากระบายยิ้มทั้งที่กระบอกตาร้อนผ่าว ดวงตาหม่นแสงเหนื่อยล้าทอดสายตาน้อยเนื้อต่ำใจใส่ลูกชายเพียงคนเดียว บริพัฒน์มองกลับมาด้วยความเย็นชา
“ถ้าแม่ไม่พูด ผมจะกลับแล้ว!!”
