บทย่อ
บ้านไม้เรือนล้านนาประยุกต์บริเวณพื้นที่ข้างเป็นหุบเขาทั้งหมด บ้านไม้หลังนี้ตั้งอยู่หลังเดียวบนพื้นที่โดดเด่น ใครจะเข้ามาที่นี่จะต้องโดยสารรถยนต์ส่วนตัวเข้ามา หากเป็นพนักงานหรือแม่บ้านก็จะใช้จักรยาน หรือรอรถจากป้อมหน้าถนนเข้ามาในบริเวณบ้านด้านใน ไม่สามารถเดินเท้าเข้ามาเองได้เนื่องจากที่ตั้งของบ้านเป็นเนินชัน เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตคันหรูที่ดูอย่างไรไม่เหมาะสักนิดจะขับเข้ามาในเขตเขาลำเนาไพรแบบนี้ แต่สำหรับ กุลนิษฐ์ ยุทธโยธิน รถนั่นมีไว้ใช้ สายฝนหล่นปรอยลงมาไม่แรงเท่าไหร่นัก หลังจากจอดรถต่อจากรถยนต์ Hummer คันใหญ่ที่จอดขวางทางเข้าโรงจอดรถใต้ถุนเรือน หญิงสาวดับเครื่องยนต์เปิดประตูก้าวออกจากรถ ก็มีร่มของแม่บ้านประจำเรือนหลังนี้ รีบกุลีกุจอกางร่มกันฝนให้เธอ “ไม่เป็นไร ท่านมาถึงนานหรือยัง?” กุลนิษฐ์บอกปัดก่อนจะยืดกายเล็กน้อยเพราะเมื่อยขบจากการที่นั่งอยู่ในห้องประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น หญิงสาวประชุมเสร็จขับรถตรงกลับมายังบ้านพักทันที ตั้งแต่เที่ยงข้าวยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด เธอหิวจนตาลาย แต่เพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องรีบกลับมาบ้าน ก็เลยไม่ได้ไปทานข้าวต่อกับคนในทีม “คุณท่านมารอด้านในตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้วค่ะ” ถ้ามารอตั้งแต่สี่โมงนี่เกือบหกโมงเย็นก็คงจะหงุดหงิดน่าดู กุลนิษฐ์พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปภายในตัวรถหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาดู 30 สายไม่ได้รับ กลีบปากอวบอิ่มทาเคลือบลิปสติกสีแดงสดยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เธอยื่นโทรศัพท์ให้กับแม่บ้าน ไม่ต้องพูดอะไรคนที่รับสิ่งของจากมือเธอไปรีบวิ่งหายไปด้านหลัง หญิงสาวหมุนตัวเดินตรงขึ้นไปยังบันไดไม้ข้างบ้านที่มันจะพาขึ้นไปสู่ระเบียงห้องรับแขกได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้าน ทันทีที่หญิงสาวร่างบางระหงเปิดประตูระเบียงเพื่อเข้าไปภายในห้องรับแขก เธอก็เจอกับร่างสูงโปร่งของชายชราในวัยเจ็ดสิบห้าปี ยืนถือไม้เท้าแหงนหน้ามองภาพวาดติดผนังสีสดด้วยท่าทีสุขุมร่มเย็น ร่างของท่านสูงใหญ่ไหล่กว้างผึ่งผายอย่างคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี แม้จะอายุมากขนาดนี้แล้วก็ตาม “สวัสดีค่ะคุณปู่” กุลนิษฐ์เอ่ยทักทาย และเมื่อท่านหันกลับมาเธอก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ติดต่อแต่ละทีช่างยากเย็นเหลือเกิน…เดี๋ยวนี้หัวฉันก็มองไม่เห็นแล้ว” ดวงตาหม่นแสงหันมามองเธออย่างตำหนิ แต่ริมฝีปากบางคล้ำกลับเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนที่ท่านจะผายมือบอกให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ “พอดีโทรศัพท์นิดไม่ได้เปิดเสียงค่ะพรุ่งนี้ก็มีประชุมด้วย แจ้งทางคุณมณีแล้วท่านไม่ได้ว่าอะไร” คำอธิบายของหญิงสาวไม่อาจจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของชายชราจางลงไปได้ “แกกำลังผัดวันประกันพรุ่ง…ฉันไม่ได้โง่” กุลนิษฐ์ส่ายหน้าพร้อมกับสบตามองผู้เป็นปู่เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงและไม่ได้คิดเช่นนั้น “ถ้าแกไปไม่ได้ ก็ให้ทางนั้นขึ้นมาหาแกที่นี่แล้วกัน” คนเป็นหลานเบนสายตามองไปทางอื่นและระบายลมหายใจ เธอเม้มริมฝีปากด้วยท่าทีอึดอัด มือบางเดี๋ยวกำเดี๋ยวแบก่อนจะบีบแน่น “ท่าทีของแกกำลังจะอวดดีกับฉันอย่างนั้นเรอะหนูนิด!” เสียงเคาะไม้เท้าลงพื้นไม้ทำให้กุลนิษฐ์ตัดสินใจได้ในทันที “เสาร์นี้นิดจะไปกรุงเทพฯ ค่ะ” คนเป็นปู่แค่นยิ้มและขยับเท้าไม้ที่จับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “พรุ่งนี้ไปดูตัว ฉันดูมาแล้วเขาเป็นคนเก่ง คนเย็น ๆ แบบแกน่าจะเข้ากับผู้ชายร้อน ๆ ได้” กุลนิษฐ์เม้มริมฝีปาก วูบหนึ่งแววตาของเธอเต็มไปด้วยความตัดพ้อก่อนที่มันจะเลือนหายไป “นิดโอเคนะคะ ถ้าแค่หมั้น…แต่นิดไม่พร้อมจะแต่งงานค่ะ” “ฉันบอกให้ไปดูตัวก็ไป ไปทำความรู้จักกับเขาจะได้รู้ว่าเนื้อแท้ของเขาแท้จริงเป็นคนเช่นไร ไม่ใช่ตัดสินคนผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาระพวกนั้น…อย่าทำตัวเป็นพวกใจแคบ!” คำสั่งเด็ดขาดพร้อมกับไม้เท้าที่ชี้ขึ้นไปยังกรอบรูปบานใหญ่ที่ติดไว้ข้างฝาผนังอีกด้านหนึ่งของห้องรับแขก… หัวใจของคนเป็นหลานบีบรัด ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างจำยอม เธอรู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างที่สวมใส่รองเท้าสลิปเปอร์เหมือนลอยได้ “แกรู้ไหมว่าพ่อแกไม่เคยเถียงฉันสักคำ…” เสียงของคนเป็นปู่ผ่านโสตประสาทไปเหมือนเครื่องบันทึกเสียงที่เล่นซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น “ลูกชายคนเดียวของฉันก็ไม่ได้รักได้ชอบแม่แกมาตั้งแต่แรก โตขนาดนี้แล้วแกควรจะมีสำนึกบ้าง ฉันเลือกสิ่งที่ดีให้กับหลานคนเดียวอยู่แล้ว ทำไมแกไม่เชื่อใจฉัน!” กุลนิษฐ์อยากบอกว่าไม่ใช่เธอไม่เชื่อใจท่าน แต่เพราะเธออยากมีชีวิตที่สงบเรียบง่าย ไม่ต้องการจะใช้ชีวิตที่มีสีสันอื่นใดนอกจากสีขาวเพียงเท่านั้น “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับแกได้อีกกี่ปีหนูนิด…ฉันไม่เหลือใครแล้วนอกจากแกที่เป็นที่พึ่งเดียวของฉัน ถ้าลูกชายฉันยังอยู่ พ่อของแกยังอยู่ ฉันคงไม่ต้องมานั่งพร่ำพูดให้มากความแบบที่พูดกับแกหรอก” กระบอกตาของกุลนิษฐ์ร้อนผ่าว เธอหลุบตาลงต่ำมองแค่พื้นกระดานของเรือนหลังนี้เท่านั้น “ถ้าคุณปู่ต้องการให้นิดไป พรุ่งนี้นิดจะไป แต่ถ้าเขาไม่โอเค นิดจะกลับทันทีประวัติเขาเป็นคนโชกโชนเรื่องผู้หญิง” คนสูงวัยแย้มยิ้มและหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย หากมันจะเป็นแค่การดูตัว ทานข้าว เรียนรู้กันบ้าง เพราะเธอก็ทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เรียนจบจนทำงาน แต่นี่คือแน่นอนแล้วว่าเธอจะต้องแต่งงาน แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้า ไม่รู้จักแม้กระทั่งนิสัย “วัยหนุ่มมันก็เลือดร้อนแบบนี้…ใคร ๆ ก็เป็นทั้งนั้น พ่อแกก็เป็นแต่พอเจอแม่แกเขาก็หยุด” กุลนิษฐ์ไม่ชอบ ไม่อยากจะเอาตัวไปแปดเปื้อนกับผู้ชายที่เข้าข่ายมักง่าย “เลี้ยงหมาดุฉันก็เห็นเชื่องทุกตัว ก็ลองดูหน่อยไม่เสียหายหรอก ฉันเห็นแกปั่นหัวผู้ชายมาแล้วตั้งกี่คน ไอ้ที่ว่าร้าย ไอ้ที่ว่าเจ้าชู้ ร้องห่มร้องไห้หน้าบริษัทนับไม่ถ้วน” ดวงตาเรียวรีหลุบต่ำและมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากจะให้สายตาโฟกัสอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า มากกว่าจะสบตามองคนที่เป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง “ฉันรู้ว่าแกเอาตัวรอดได้ ไม่งั้นแกคงไม่พากิจการงานโรงแรมเรามาถึงป่านนี้หรอก ผู้ชายถ้าเลี้ยงมันดี เลี้ยงมันอิ่ม ดูแลมันเหมือนที่เลี้ยงหมาดุ ๆ ในคอกนั่นของแก ฉันว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันหรอกหนูนิด” นี่ปู่กำลังพูดถึงผู้ชายที่เธอกำลังจะได้แต่งงานด้วยแน่ใช่ไหม กุลนิษฐ์ได้แต่รับฟังด้วยสมองเบลอ ๆ
บทนำ
บ้านไม้เรือนล้านนาประยุกต์บริเวณพื้นที่ข้างเป็นหุบเขาทั้งหมด บ้านไม้หลังนี้ตั้งอยู่หลังเดียวบนพื้นที่โดดเด่น ใครจะเข้ามาที่นี่จะต้องโดยสารรถยนต์ส่วนตัวเข้ามา หากเป็นพนักงานหรือแม่บ้านก็จะใช้จักรยาน หรือรอรถจากป้อมหน้าถนนเข้ามาในบริเวณบ้านด้านใน ไม่สามารถเดินเท้าเข้ามาเองได้เนื่องจากที่ตั้งของบ้านเป็นเนินชัน
เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตคันหรูที่ดูอย่างไรไม่เหมาะสักนิดจะขับเข้ามาในเขตเขาลำเนาไพรแบบนี้ แต่สำหรับ กุลนิษฐ์ ยุทธโยธิน รถนั่นมีไว้ใช้
สายฝนหล่นปรอยลงมาไม่แรงเท่าไหร่นัก หลังจากจอดรถต่อจากรถยนต์ Hummer คันใหญ่ที่จอดขวางทางเข้าโรงจอดรถใต้ถุนเรือน
หญิงสาวดับเครื่องยนต์เปิดประตูก้าวออกจากรถ ก็มีร่มของแม่บ้านประจำเรือนหลังนี้ รีบกุลีกุจอกางร่มกันฝนให้เธอ
“ไม่เป็นไร ท่านมาถึงนานหรือยัง?” กุลนิษฐ์บอกปัดก่อนจะยืดกายเล็กน้อยเพราะเมื่อยขบจากการที่นั่งอยู่ในห้องประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น
หญิงสาวประชุมเสร็จขับรถตรงกลับมายังบ้านพักทันที ตั้งแต่เที่ยงข้าวยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด เธอหิวจนตาลาย แต่เพราะมีเรื่องด่วนที่ต้องรีบกลับมาบ้าน ก็เลยไม่ได้ไปทานข้าวต่อกับคนในทีม
“คุณท่านมารอด้านในตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้วค่ะ” ถ้ามารอตั้งแต่สี่โมงนี่เกือบหกโมงเย็นก็คงจะหงุดหงิดน่าดู
กุลนิษฐ์พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปภายในตัวรถหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาดู 30 สายไม่ได้รับ
กลีบปากอวบอิ่มทาเคลือบลิปสติกสีแดงสดยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เธอยื่นโทรศัพท์ให้กับแม่บ้าน ไม่ต้องพูดอะไรคนที่รับสิ่งของจากมือเธอไปรีบวิ่งหายไปด้านหลัง
หญิงสาวหมุนตัวเดินตรงขึ้นไปยังบันไดไม้ข้างบ้านที่มันจะพาขึ้นไปสู่ระเบียงห้องรับแขกได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินผ่านเข้าไปในตัวบ้าน
ทันทีที่หญิงสาวร่างบางระหงเปิดประตูระเบียงเพื่อเข้าไปภายในห้องรับแขก เธอก็เจอกับร่างสูงโปร่งของชายชราในวัยเจ็ดสิบห้าปี ยืนถือไม้เท้าแหงนหน้ามองภาพวาดติดผนังสีสดด้วยท่าทีสุขุมร่มเย็น
ร่างของท่านสูงใหญ่ไหล่กว้างผึ่งผายอย่างคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี แม้จะอายุมากขนาดนี้แล้วก็ตาม
“สวัสดีค่ะคุณปู่” กุลนิษฐ์เอ่ยทักทาย และเมื่อท่านหันกลับมาเธอก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ติดต่อแต่ละทีช่างยากเย็นเหลือเกิน…เดี๋ยวนี้หัวฉันก็มองไม่เห็นแล้ว” ดวงตาหม่นแสงหันมามองเธออย่างตำหนิ แต่ริมฝีปากบางคล้ำกลับเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนที่ท่านจะผายมือบอกให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้
“พอดีโทรศัพท์นิดไม่ได้เปิดเสียงค่ะพรุ่งนี้ก็มีประชุมด้วย แจ้งทางคุณมณีแล้วท่านไม่ได้ว่าอะไร” คำอธิบายของหญิงสาวไม่อาจจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของชายชราจางลงไปได้
“แกกำลังผัดวันประกันพรุ่ง…ฉันไม่ได้โง่” กุลนิษฐ์ส่ายหน้าพร้อมกับสบตามองผู้เป็นปู่เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงและไม่ได้คิดเช่นนั้น
“ถ้าแกไปไม่ได้ ก็ให้ทางนั้นขึ้นมาหาแกที่นี่แล้วกัน” คนเป็นหลานเบนสายตามองไปทางอื่นและระบายลมหายใจ เธอเม้มริมฝีปากด้วยท่าทีอึดอัด มือบางเดี๋ยวกำเดี๋ยวแบก่อนจะบีบแน่น
“ท่าทีของแกกำลังจะอวดดีกับฉันอย่างนั้นเรอะหนูนิด!” เสียงเคาะไม้เท้าลงพื้นไม้ทำให้กุลนิษฐ์ตัดสินใจได้ในทันที
“เสาร์นี้นิดจะไปกรุงเทพฯ ค่ะ” คนเป็นปู่แค่นยิ้มและขยับเท้าไม้ที่จับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง
“พรุ่งนี้ไปดูตัว ฉันดูมาแล้วเขาเป็นคนเก่ง คนเย็น ๆ แบบแกน่าจะเข้ากับผู้ชายร้อน ๆ ได้”
กุลนิษฐ์เม้มริมฝีปาก วูบหนึ่งแววตาของเธอเต็มไปด้วยความตัดพ้อก่อนที่มันจะเลือนหายไป
“นิดโอเคนะคะ ถ้าแค่หมั้น…แต่นิดไม่พร้อมจะแต่งงานค่ะ”
“ฉันบอกให้ไปดูตัวก็ไป ไปทำความรู้จักกับเขาจะได้รู้ว่าเนื้อแท้ของเขาแท้จริงเป็นคนเช่นไร ไม่ใช่ตัดสินคนผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาระพวกนั้น…อย่าทำตัวเป็นพวกใจแคบ!”
คำสั่งเด็ดขาดพร้อมกับไม้เท้าที่ชี้ขึ้นไปยังกรอบรูปบานใหญ่ที่ติดไว้ข้างฝาผนังอีกด้านหนึ่งของห้องรับแขก…
หัวใจของคนเป็นหลานบีบรัด ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างจำยอม เธอรู้สึกว่าเท้าทั้งสองข้างที่สวมใส่รองเท้าสลิปเปอร์เหมือนลอยได้
“แกรู้ไหมว่าพ่อแกไม่เคยเถียงฉันสักคำ…” เสียงของคนเป็นปู่ผ่านโสตประสาทไปเหมือนเครื่องบันทึกเสียงที่เล่นซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น
“ลูกชายคนเดียวของฉันก็ไม่ได้รักได้ชอบแม่แกมาตั้งแต่แรก โตขนาดนี้แล้วแกควรจะมีสำนึกบ้าง ฉันเลือกสิ่งที่ดีให้กับหลานคนเดียวอยู่แล้ว ทำไมแกไม่เชื่อใจฉัน!”
กุลนิษฐ์อยากบอกว่าไม่ใช่เธอไม่เชื่อใจท่าน แต่เพราะเธออยากมีชีวิตที่สงบเรียบง่าย ไม่ต้องการจะใช้ชีวิตที่มีสีสันอื่นใดนอกจากสีขาวเพียงเท่านั้น
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับแกได้อีกกี่ปีหนูนิด…ฉันไม่เหลือใครแล้วนอกจากแกที่เป็นที่พึ่งเดียวของฉัน ถ้าลูกชายฉันยังอยู่ พ่อของแกยังอยู่ ฉันคงไม่ต้องมานั่งพร่ำพูดให้มากความแบบที่พูดกับแกหรอก” กระบอกตาของกุลนิษฐ์ร้อนผ่าว เธอหลุบตาลงต่ำมองแค่พื้นกระดานของเรือนหลังนี้เท่านั้น
“ถ้าคุณปู่ต้องการให้นิดไป พรุ่งนี้นิดจะไป แต่ถ้าเขาไม่โอเค นิดจะกลับทันทีประวัติเขาเป็นคนโชกโชนเรื่องผู้หญิง” คนสูงวัยแย้มยิ้มและหัวเราะออกมาเบา ๆ
เธอจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย หากมันจะเป็นแค่การดูตัว ทานข้าว เรียนรู้กันบ้าง เพราะเธอก็ทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เรียนจบจนทำงาน แต่นี่คือแน่นอนแล้วว่าเธอจะต้องแต่งงาน
แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้า ไม่รู้จักแม้กระทั่งนิสัย
“วัยหนุ่มมันก็เลือดร้อนแบบนี้…ใคร ๆ ก็เป็นทั้งนั้น พ่อแกก็เป็นแต่พอเจอแม่แกเขาก็หยุด”
กุลนิษฐ์ไม่ชอบ ไม่อยากจะเอาตัวไปแปดเปื้อนกับผู้ชายที่เข้าข่ายมักง่าย
“เลี้ยงหมาดุฉันก็เห็นเชื่องทุกตัว ก็ลองดูหน่อยไม่เสียหายหรอก ฉันเห็นแกปั่นหัวผู้ชายมาแล้วตั้งกี่คน ไอ้ที่ว่าร้าย ไอ้ที่ว่าเจ้าชู้ ร้องห่มร้องไห้หน้าบริษัทนับไม่ถ้วน”
ดวงตาเรียวรีหลุบต่ำและมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากจะให้สายตาโฟกัสอยู่กับต้นไม้ใบหญ้า มากกว่าจะสบตามองคนที่เป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง
“ฉันรู้ว่าแกเอาตัวรอดได้ ไม่งั้นแกคงไม่พากิจการงานโรงแรมเรามาถึงป่านนี้หรอก ผู้ชายถ้าเลี้ยงมันดี เลี้ยงมันอิ่ม ดูแลมันเหมือนที่เลี้ยงหมาดุ ๆ ในคอกนั่นของแก ฉันว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันหรอกหนูนิด”
นี่ปู่กำลังพูดถึงผู้ชายที่เธอกำลังจะได้แต่งงานด้วยแน่ใช่ไหม กุลนิษฐ์ได้แต่รับฟังด้วยสมองเบลอ ๆ