Chapter 6 ผู้ติดตาม ผู้ตามติด
หลังจากตื่นกลางดึก จากความฝันที่คอยตามหลอกหลอนมาตลอด 6 เดือน...
บุษบาก็ตื่นสาย!
เธอนัดลูกค้าเอาไว้ ตอน 9.00 น. เพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับงานล่ามที่ได้ตกลงผ่านทางโทรศัพท์เอาไว้
และตอนนี้ก็...8.30 น.แล้ว!
สองเท้าที่อุตส่าห์สวมใส่ส้นสูงขนาด 1 นิ้ว เดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าอพาร์ทเมนต์ พร้อมสอดส่ายสายตามองไปยังท้องถนน
ด้วยกระโปรงทรงแคบกรอมเข่าพอดี และเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนที่ยัดเอาเอาในกระโปรงอย่างเรียบร้อย ทำให้การเดินทางมันนี้ไม่ค่อยจะคล่องตัวสักเท่าไหร่
ดีที่เส้นผมสยาย...ถูกรวบเอาไว้ เป็นช่อระย้าทิ้งตัวอย่างงดงาม เลยส่งให้บุคลิกในวันนี้ไม่ได้ดูตึงจนเกินไป
“Grab ยังไม่ถึงอีกเหรอ” ในตัวจังหวัดนี้ที่มีความเจริญพอๆ กับเมืองหลวงของประเทศ แต่รถแท็กซี่ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ ต้องอาศัยเรียก Grab เป็นหลัก
แน่นอนว่าคนขับรถไม่เป็นอย่างเธอ เลือกที่จะใช้บริการนี้เป็นหลัก แม้จะใช้บริการรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างบ้าง รถโดยสารประจำทางบ้าง แต่จะใช้ช่วงที่ไม่ได้รีบเร่งมากกว่า
กึก...!
ขณะที่สายตาสอดส่ายอย่างเร่งรีบนั้น รถเก๋งคันหนึ่งที่จอดนิ่งอยู่มุมถนน ก็ดันมาสะดุดตาเข้า...
หญิงสาวต้องหันกลับไปมองซ้ำ แต่ด้วยความที่สายตาสั้น...ก็เลยมองไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
ครั้นจะหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมส่อง ก็ดูจะไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
ไม่ใช่หรอกน่า
รีบเตือนใจตัวเองที่เริ่มจะคิดไปอีกทาง พร้อมกับที่มีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดเทียบเข้าพอดี มันคือรถ Grab taxi เพราะเธอหา Grab car ไม่ได้
บุษบาตัดสินใจรีบร้อนเดินขึ้นรถ เพราะมีงานรออยู่...
คนที่ให้ความสำคัญกับงานมาสักพักใหญ่ๆ อย่างเธอ ไม่ค่อยจะให้อะไรมาสำคัญกว่าได้ แม้จะมีช่วงที่ฟุ้งซ่านแค่ไหน
นี่คือสิ่งสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนควรจะมี เพราะผู้หญิงมักจะทำเรื่องนี้ไม่ค่อยดี ในคราที่มีความรัก...หรือไม่ใช่!
บุษบาเข้าไปคุยงานกับลูกค้าในร้านกาแฟหรูหราร้านหนึ่ง ความที่มัวแต่สนใจกับงานในมุมหนึ่งของร้านและพูดคุยอย่างออกรสกับลูกค้า ทำให้เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า...
มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง เดินเข้ามา...และนั่งถัดจากโต๊ะของเธอไม่ได้ไกล
“ได้ค่ะ...ทั้งหมดสองวันใช่มั้ยคะ”
“คุณเบลล์สะดวกที่จะไป-กลับหรือพักค้างดีคะ?” คนที่ไม่สะดวกจะพักค้างที่ไหนแน่ๆ รีบเปิดสมุดปฏิทินเล่มเล็กของตัวเองดู
“น่าจะไป-กลับ...ดีกว่าค่ะ” ตอบแบบไม่ยอมเงยจากหน้าสมุด ที่มีคิวงานยาวเหยียด
“ได้ค่ะ ทางเราจะได้เตรียมค่าเดินทางเอาไว้ให้ และยกเลิกการจองที่พัก เดินทางประมาณ 1-2 ชั่วโมงกว่าจะถึงสะดวกใช่ไหมคะ?” ย้ำอีกครั้งเชิงเกรงใจ
“ไม่มีปัญหาค่ะ สบายมาก...เบลล์เดินทางบ่อยจนชินแล้วค่ะ” เธอว่าอย่างกระตือรือร้น จนมุมปากหยักยิ้มของเจ้าของแววตาหนึ่ง หลุบเข้า
พอล จอร์แดน แอบฟังบทสนทนาระดับความดังปกตินั้นอย่างเสียมารยาท แต่ก็แอบชื่นชมความเป็นมืออาชีพของเธอในจังหวะของการคุยงานหรือต่อรองต่างๆ
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่ได้ศึกษากันและกัน เขาไม่เคยเห็นเธอในมุมมองนี้
ยิ่งสำเนียงภาษาอังกฤษของเธอที่ไม่ได้คล่องเท่าไหร่ในตอนที่คบหากัน มาได้ยินตอนนี้...เขายอมรับว่าเธอมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก
เขาปลื้มใจและยังคงภาคภูมิใจในทุกการเติบโตของเธอเสมอ
“ขอบคุณมากนะคะ อีกสองวันเจอกันค่ะ” หลังจากที่การตกลงได้ผ่านพ้นไป ลูกค้าก็ขอรีบลากลับ ส่วนเธอขอนั่งจัดคิวงานอีกสักพัก
เพราะถึงแม้วันนี้งานจะมีแค่นี้ แต่ช่วงบ่ายเธอจะต้องนั่งแปลงานต่อ เพราะมีอีกสองสามงานแปล ที่ต้องรีบเคลียร์ส่ง
การเป็นฟรีแลนซ์นั้นแสนจะสบายใจก็จริง...แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการที่อาศัยความมีวินัยเป็นหลัก!
“เฮ้อ เสร็จได้ซะทีนะ...” ว่าพร้อมเงยหน้าขึ้นมา ยักไหล่เล็กน้อยเพื่อคลายความปวดเมื่อย
ในขณะที่ยกแก้วชาเขียวขึ้นจิบ ก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ ร่างหนึ่ง...นั่งหลังตรงหันหลังอยู่โต๊ะถัดไป
จนเธอต้องย่นคิ้วเข้า
ไม่ใช่หรอกมั้ง...
พยายามจะคิดแบบนั้น แต่มีหรือ...ที่เธอจะลืมแผ่นหลังกว้างตึงแน่น ที่เคยพยายามกระโดดขึ้นไปกอด ไม่ได้
ใจดวงน้อยที่จิบได้แค่ชา...ก็พากันสั่นพร่าพึ่บพับ
สองมือรีบจับอุปกรณ์ขีดเขียนของตัวเอง ยัดลงในกระเป๋าทำงานโดยเฉพาะ อย่างรีบร้อนแต่เงียบกริบ...
เธอไม่รู้หรอกว่าเขาตามเธอมาหรือจะเป็นเรื่องแค่บังเอิญ แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาเห็นเธอแน่!
เพล้ง! ความรีบร้อนนั้น นำพาให้เธอทำแก้วชาเขียวร่วงหล่นลงพื้น โชคดีที่เป็นพลาสติก เลยไม่ได้เกิดการแตกหัก แต่มีการเปียกพื้นแน่ๆ
“ขอโทษทีค่ะ” เธอรีบกล่าวแก่พนักงานร้าน ที่รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ
ร่างสูงใหญ่ที่เธอพยายามจะหนี หันมามองเต็มตาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง...
“คิดตังด้วยครับ” เขากล่าวแก่พนักงานเป็นภาษาไทยทำนองแปร่ง ซึ่งก็ต้องรีบค้อมพร้อมวิ่งไปนำบิลโต๊ะเขามาให้
“รอสักครู่นะคะ” เด็กในร้านรีบวิ่งกลับไป ทั้งๆ ที่ความเปียกบนพื้นยังไม่ได้รับการจัดการ
“คิดตังด้วยเหมือนกันค่ะ” รีบบอกอย่างรีบร้อน เพราะเธออาสาเลี้ยงลูกค้า ก็เลยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมื้อนี้
“คิดรวมกันไปเลยครับ” หนุ่มใหญ่ชาวอเมริการีบว่า จนพนักงานชะงัก แต่ก็รีบวิ่งพยักหน้าและวิ่งไป
หญิงสาวอ้าปากค้าง หมายจะทักท้วง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เธอมีความตั้งใจว่าจะไม่ทักทายเขาใดๆ ด้วยซ้ำ
คนบ้า...ทำแบบนี้เพื่ออะไร!
หันไปมองหน้าคนที่ทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร แววตาสบายๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด!
ตัดสินใจเดินฉับๆ ออกจากร้านไป
อยากจะจ่ายก็จ่ายไปเลย!
บุษบาเดินออกมาที่หน้าร้าน พร้อมตัดสินใจที่จะใช้บริการ Grab อีกครั้ง แม้จะแพงหน่อย...แต่ก็ดีกว่าไปต่อรถหลายต่อ
แต่ไม่ทันที่จะได้ทำตามใจคิด ใครบางคนก็เดินออกมาจากร้าน พร้อมมุ่งหน้ามาที่เธอแบบจงใจ
หญิงสาวในชุดกระโปรงทรงเอสีเข้ม ไม่ได้มีเวลาตรึกตรองอะไรให้มากนัก เห็นรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งผ่านมา ก็รีบโบกให้จอดในทันที
เธอรู้ว่าอพาร์ทเมนต์ของตัวเองไกลออกไปจากร้านนี้พอสมควร เธอคงไม่อาจจะนั่งมอเตอร์ไซด์ไปจนถึงบ้านได้
“ขับไปเรื่อยๆ ก่อนค่ะ...รีบเลยนะคะพี่” ว่าอย่างรีบร้อนและมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็จัดให้ ความไวของรถทำให้เธอต้องจับเสื้อคนขับแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองว่า มีรถใครขับตามมาหรือไม่
“ไฟแดงทำไมกันเนี่ย...” แต่ต่อจะให้ขับไวแค่ไหน เมื่อมาเจอสัญญาณไฟจาจรสีแดง 120 วินาที ก็ต้องจอดนิ่งอยู่ดี...ซึ่งเธอรู้สึกขัดใจเป็นที่สุด
ทันทีที่รถมอเตอร์ไซด์จอดเทียบตามสัญญาณไฟ ไม่นานนักก็มีรถคันหนึ่งมาจอดเคียงข้าง
คนตื่นเต้นจากความเร็วของรถ เหลือบไปมองตามจังหวะทั่วไป เพราะแดดก็เริ่มจะร้อน...
รถเก๋งสีขาวคือรถที่มาจอดเคียงข้าง
สีขาวอีกแล้วเหรอ...ทำไมวันนี้เจอแต่รถสีขาว
เป็นความคิดแวบๆ ที่ปรากฏขึ้นมาแบบไม่ได้พินิจอะไร แต่กลับสะดุดซ่าไปทั้งใจ...
ฮะ...?
กระจกรถคันนั้นค่อยๆ ลดลง จนปรากฏจมูกโด่งคมและเสี้ยวหน้าด้านข้าง ที่เคยคุ้น...
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมามองเพียงนิด ก่อนมองผ่านไป ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจตามมา
นั่นยิ่งส่งผลให้เธอรู้สึกหงุดหงิดในใจเพิ่มขึ้น!
ได้...ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะตามไปได้ถึงไหน!
“พี่ๆ จอดตรงป้ายรถประจำทางนี่ก็ได้ค่ะ” พอผ่านพ้นไฟแดงมาได้ ก็เจอป้ายรถประจำทางพอดี
เธอกุลีกุจอลงจากรถ แม้จะลำบากหน่อยแต่ก็ใจก็ยังสู้
ไม่รู้เลยว่าภาพตัวเอง กำลังตกอยู่ในสายตาของคนที่ขับรถตามมา แบบเว้นระยะ...และกำลังอมยิ้มขำ ในความเล่นอะไรเป็นเด็กของเธอมาเสมอ
พอลงจากรถได้แล้ว ก็เหลือบเห็นรถเก๋งสีขาวคันเดิมนั้น จอดอยู่เทียบถนนห่างจากป้ายรถประจำทางไปไม่เท่าไหร่
หึ...คิดจะรับบทพวกโรคจิตหรือไง
รถประจำทางคันสีฟ้าขาว แล่นผ่านมาแล้ว นั่นแหละเธอก็เลยได้จังหวะในการรีบวิ่งขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่ารถสายนี้จะไปที่ไหน ยังไง
เธอลืมไปเลยด้วยซ้ำว่ามีงานอะไรรอตัวเองอยู่บ้าง!
“มาดู ว่าจะตามไปได้สักแค่ไหน” เธอยังมองไปทางด้านหลัง ที่มองเห็นรถเขาขับตามมาเรื่อยๆ
“ลงไหนจ๊ะ” กระเป๋ารถเดินมาถามพร้อมเตรียมจะฉีกตั๋ว
นั่นสิ
“อีกห้าป้ายก็ได้ค่ะ” คนถือกระเป๋าเหล็กสำหรับใส่ตั๋วทำสีหน้าสะดุดเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร ฉีกตั๋วให้คิดตังตามที่ผู้โดยสารต้องการ
บุษบาเหนื่อยมากกับการทำอะไรแบบนี้ จนหายใจเริ่มหอบ แถมยังหอบกระเป๋าทำงานและกระเป๋าถือพกส่วนตัวแนบในมือแน่น
เหลือบสายตาไปมองรถที่ขับตามมาเป็นระยะ
จนมาถึงไฟแดงหนึ่งอีกครั้ง...และนั่นแหละ มองออกไปนอกหน้าต่าง ด้วยความรู้สึกพยายามจะหาที่พักให้ผ่อนคลาย
แต่กระจกรถที่มาจอดข้างๆ รถประจำทาง ก็ไม่ใช่รถคันอื่น
เขาขับตามเธอก็พอจะเข้าใจ
แต่ที่ตามมาจอดข้างๆ ได้แบบถูกจังหวะถึงสองครั้งสองครานี้...โชคชะตาเป็นอะไร!
โชคชะตากลั่นแกล้งเธองั้นหรือ!!!
หงุดหงิดแล้วนะ!
กระจกข้างรถเลื่อนลง ปรากฏใบหน้าฝรั่งขาวสว่าง ถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมส่งสายตามาที่เธอเชิงขัน
นั่นมันยิ่งปลุกปั่นอารมณ์ของเธอให้กระเจิดกระเจิง
“นี่แกล้งกันเหรอ” เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ราวกับได้ยินในสิ่งที่เธอพูด เลื่อนกระจกขึ้นและสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี
“ป้ายห้าเตรียมลงจ้า...”
นั่นแหละ เธอก็เลยรีบลุกขึ้นยืน เกาะราวรถประจำทางเอาไว้ในรอบเดือนเลยก็ว่าได้
นี่เรากำลังทำบ้าอะไร...บ้าจี้ตามเขาอย่างนั้นเหรอ?
‘ยูชอบใจร้อน’
‘ยูก็ชอบแกล้งไอเหมือนกัน!’
บทสนทนาในวันวานหวนย้อนเข้ามาให้ได้นึก...
ใช่ เธอลืมไปได้ยังไง ว่าเขาเป็นคนช่างจี้ ยิ่งเธอยิ่งบ้า...เขาก็ยิ่งจี้ นี่มันเป็นการลงไปเป็นเล่นตามเกมของเขาชัดๆ
แล้วผลเป็นยังไง เขาไม่ได้เหนื่อยอะไร...แต่เธอนี่ต้องมาเหนื่อยโคตรๆ!
“จะหารถกลับบ้านยังไงดีวะเนี่ย” พอลงจากรถประจำทางมาได้ ก็รีบควานหาโทรศัพท์เพื่อดูตำแหน่งสถานที่ คงไม่พ้นต้องเสียเงินเรียก Grab อีกตามเคย
“โห ทำไมมันแพงขนาดนี้อ่ะ...มาคนละทางกับห้องเลยเหรอเนี่ย” ในขณะที่บ่นอยู่นั้น จังหวะการหายใจก็หอบเหนื่อยไปด้วย
เพราะด้วยอากาศที่ร้อน ผสานกับความตื่นเต้นและลุ้นระทึก...สภาพเธอก็เลยดูเหมือนจะไม่ต่างจากหมาเหนื่อยตัวหนึ่งสักเท่าไหร่!
“น้ำครับ” เสียงภาษาไทยแปร่งๆ ดังขึ้นมาข้างๆ
หญิงสาวหันไปมองแบบไม่ได้คิดอะไรในทีแรก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่เรียกตัวเอง
“พอล...”
“ดื่มสิ กระฮายไม่ใช่เหรอ”
“กระหาย ไม่ใช่กระฮาย” เธอแก้ให้ แบบที่เคยแก้มาตลอด นั่นแหละ...เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องยิ้มกว้างออกมา ยิ้มไปทั้งดวงตา ไม่ใช่แค่ริมฝีปาก
“เก็บไว้ดื่มเองเถอะ” ว่าพร้อมรีบมองหาช่องทางในการไปต่อ
“ดื่มเถอะ เดี๋ยวไม่มีแรงวิ่งหนี” เขาพูดภาษาอังกฤษ เพราะไม่อยากให้คนที่นั่งรอรถอยู่ รู้เรื่องไปด้วย แม้ว่าบางคนอาจจะฟังออกก็ตาม
“วิ่งหนีใคร แล้วใครวิ่งหนี ฉันไม่ได้หนีอะไรทั้งนั้น” ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษปร๋อจนต้องเม้มริมฝีปาก
เธอเผลอทำอะไร ที่เคยตกลงกันเอาไว้ตอนอยู่ด้วยกัน จนเขาต้องยิ้มปลื้ม
บ้าจริง
“ปรี๊นๆๆๆ” เสียงแตรจากรถเมล์ที่จะเข้ามาจอดดังลั่น คนสองคนสะดุ้งออกจากภวังค์หันไปมองยังต้นเสียง
ข้อมือบางถูกคว้าไปกุมไว้ด้วยมือใหญ่ยักษ์
“นี่คุณมาจับฉันทำไม” ขืนแรงกลับเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล
“เฮ้ย! จอดรถแบบนี้ได้ไงวะ!” เสียงตะโกนของคนขับรถประจำทาง ทำเอาเขาออกแรงดึงเธอตามตัวเองไป เปิดประตูรถและยัดเธอเข้าไป แบบไม่สนว่าจะสมัครใจหรือเปล่า
หญิงสาวผู้อยากจะโวยวาย ไม่กล้าทำตามอย่างใจคิด เธอกลัวว่าคนอื่นคิดว่าเขาเป็นคนโรคจิตหรือโจรที่จะมาลักพาตัวเธอไป
อยากจะเลิกมันก็ใช่...แต่ใจไม่แข็งพอที่จะให้คนอื่นมามองว่าเขาเป็นแบบนั้นนี่หว่า
