ตอนที่ 9 ไป๋หลานกง
วันนี้หลังจากเรียนจบวิชาพุทธธรรม ฝูหลินก็เดินมาเก็บผลท้อที่สุกแล้ว นำมาผลกับน้ำเชื่อมทำท้อลอยแก้วให้อาจารย์ซ่างจวิน เหล่าศิษย์พี่ของนางอาสาเก็บให้ถึงบนต้น มีเพียงนางชี้นิ้วบรรดาศิษย์พี่ก็สอยลงมาให้
“ศิษย์พี่สามตรงนั้น อยู่ตรงกิ่งที่สามเลย” ฝูหลินตะโกนบอก
“เห็นแล้ว”
“ทำไมเราไม่ใช่เวทย์เด็ดลงมาทีละลูกให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้ไม่เหนื่อยปีนต้น” ศิษย์หกเอ่ยถาม
“ทำเช่นนั้นจะไปสนุกอันใดเล่า แบบนี้สนุกตั้งเยอะ” ศิษย์พี่รองเอ่ยบอก ไม่ช้าศิษย์พี่ใหญ่เดินมาด้วยความตกใจ ต้นไม้ออกลูกเป็นคนเสียแล้ว แล้วมองดูผลท้อ กับดอกท้อในตะกร้าสามใบเขาเดาได้ทันทีว่าฝูหลินเป็นตัวการ ใช้เหล่าศิษย์พี่ของนางเก็บหรือไม่ก็อาสาช่วยนางให้นางหมักเหล้าดอกท้อเป็นรางวัล แต่ก็อดไม่ได้ที่เอ่ยกล่าวตักเตือน
“พวกเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ซ่างจวิน ทำไมทำตัวเป็นลิงเกาะต้นไม้เช่นนี้เล่า รีบลงมาก่อนที่อาจารย์จะมาเห็น” ศิษย์พี่ใหญ่ จื่อฮั๋วเอ่ยกล่าวเสียงดังขึงขัง จนศิษย์น้องทั้งสิบคนลงจากต้นไม้ ด้วยความเกรงใจนิดๆ ฝูหลินแอบย่องหลบหนี แต่เดินไม่ได้ไกล ศิษย์พี่จึงเรียงนาง
“ฝูหลินอาจารย์เรียกเจ้า อาจารย์บอกว่ามีแขกคนสำคัญมาหา ที่เรือนพักริมสระหรดี”
“ค่ะศิษย์พี่ใหญ่”
ฝูหลินมองมายังชายหนุ่มอาภรณ์ดั่งท้องนภา และหญิงสาวที่นั่งหันหลังให้นางด้วยนั้น เขาไม่ใช่ใครอื่นคือฉีเหวินหวางเย่กับหนี่อู่ สหายรักของนางนั่นเอง ฝูหลินเดินเข้าไปใกล้ อาจารย์ซ่างจวินกับทั้งสอง หนี่อู่เห็นฝูหลินมีสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อเจอสหายของนาง ไม่ได้เจอกันมาเกือบสามพันปี
“ฝูหลิน” หนี่อู่ร้องเรียนฝูหลินด้วยความดีใจ ฝูหลินจึงเดินเข้ามาหา
“หนี่อู่” ฝูหลินกอดหนี่อู่ด้วยความคิดถึง จนซ่างจวินเอ่ยปากดุนางไม่เคารพองค์ชายรอง ฉีเหวิน
“ฝูหลิน ทำไมถึงเสียกิริยาเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าฉีเหวินหวางเย่มาด้วยกันกับหนี่อู่ซ่างเสิน”
ฝูหลินจึงคลายกอดจากหนี่อู่ ถวายบังคมหวางเย่
“ตามสบายเถิด” หวางเย่เผยแย้มพระสรวน
“หวางเย่ ซ่างจวิน หนี่อู่ขอพาฝูหลินไปเดินเล่นพูดคุยประเดี๋ยว” หนี่อู่เอ่ยถาม ซ่างจวินเผยยิ้มและผายมือ หนี่อู่หันมามองฝูหลิน แล้วจึงจับมือนางเดินไปด้วยกัน
“ข้าไม่คิดว่าสำนักซ่างจวินจะมีสถานที่งดงามเช่นนี้”
หนี่อู่เอ่ยบอกฝูหลินที่นั่งตรงชะง่อนผาสูงตระหง่าน ด้านหน้าของนางมีสายธารสู่พื้นธรณีเบื้องล่าง ฝูหลินจึงเสกไหสุราขึ้นมาสองไห ส่งให้หนี่อู่ หนี่อู่รับไว้แล้วจึงร้องด้วยความเป็นห่วง เพราะนางรู้ว่าสุราเข้าปากนางทีไร นางจะนึกถึงแต่เรื่องเศร้า และเรื่องนั้นมาจากทุกข์ทางใจทั้งสิ้น
“ฝูหลินอย่าดื่มมากเลย เจ้าคออ่อนเมาง่ายมาแต่ไหนแต่ไร อย่าดื่มมันเสียเลย”
“หนี่อู่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่เหล้าดอกท้อนี่ข้าเป็นคนทำมันขึ้นมาเองลองชิมสิ” ฝูหลินเอ่ยบอกแล้ว ฝูหลินขึ้นยกขึ้นดื่ม หนี่อู่จึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“ความจริงข้ากับหวางเย่มาวันนี้ ด้วยจะพาเจ้าขึ้นทะเบียนเซียนเลื่อนขั้นเป็นเสินหฺนฺวี่” (เสินหฺนฺวี่/เสินหนี่วี่ คือ เทพธรรมดาหญิง)
ฝูหลินจึงหันมามองหนี่อู่ด้วยความตกใจ กับสิ่งที่ได้ฟัง
“ทำไมข้าถึงเป็นเสินหฺนฺวี่”
“เจ้าบำเพ็ญเพียรมากพอที่จะเป็นเสินหฺนฺวี่ และอีกอย่างเจ้าจะไปอยู่ที่จื่อหลั่นกง เพราะเจ้าคือน้องบุญธรรมของฉีเหวินหวางเย่ จะให้เจ้าอยู่กับเซียนบุรุษเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้ หวางเย่เองก็นำชื่อเจ้าเข้าทะเบียนเซียนแล้วด้วย เจ้าจะฉีกหน้าตี๋ติของเทียนจวินไม่ได้หนา” หนี่อู่เอ่ยจริงจัง แต่หญิงสาวตรงหน้ารักนางเสมือนพี่น้อง ฝูหลินก็รักหนี่อู่ดุจพี่สาวร่วมอุทรเช่นกัน
“ได้ข้าจะไปอยู่จื่อหลั่นกง”
เร้นกายขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าพร้อมกับองค์ชายรองฉีเหวิน และหนี่อู่ มาถึงยังตำหนักจื่อหลันกง เซียนกวนท่านหนึ่งเดินมาคาราวะองค์ชาย หนี่อู่และฝูหลิน ฝูหลินจึงมือผสานตรงหน้าเคารพเซียนกวน องค์ชายฉีเหวินจึงตรัสต่อกับฝูหลิน
(เซียนกวน คำเรียเซียนรับใช้ชายที่ยังหนุ่ม)
“จื่อหลาน ฝูหลินน้องบุญธรรมของข้า ข้าจะให้เจ้าไปพักไป๋หลานกง ข้างเหม่ยลี่กงของหนี่อู่” (ไป๋หลานกง แปลว่า ตำหนักกล้วยไม้ขาว / เหม่ยลี่กง แปลว่าตำหนักดอกบ๊วยงดงาม)
“พระเจ้าค่ะ เชิญฝูหลินกงจู่พระเจ้าค่ะ” จื่อหลานเอ่ยบอกและรอยยิ้มให้ฝูหลิน (กงจู่ แปลว่า องค์หญิง)
“ขอบพระทัยเพคะ หวางเย่” ฝูหลินทูลบอกด้วยรอยยิ้ม
ฝูหลินมองหญิงสาวทั้งหกคนที่ยืนเป็นหน้ากระดานตรงหน้า นางใบหน้างดงามนักดุจนางเซียนก็มิปาน ทว่าฝูหลินมาสะดุดหญิงใบหน้างดงาม นางคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอมาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ฝูหลินจึงเดินไปหน้าหญิงสาวผู้นั้น แล้วเอ่ยถาม
“เจ้าชื่ออะไร”
“หม่อมฉันซู่เหยาเพคะ” หญิงสาวที่ชื่อซู่เหยาเอ่ยชื่อตน
“หนี่อู่ซ่างเสิน ข้าขอเลือกซู่เหยาเป็นสาวใช้ของข้า” ฝูหลินเอ่ยบอกหนี่อู่ที่กำลังกินลูกท้ออยู่บนฟูกนอนต่างระดับ
“แล้วแต่เจ้าเห็นสมควร” หนี่อู่เอ่ยบอก ฝูหลินจึงหันกลับไปหาซู่เหยา
“ข้าฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะซู่เหยา” ฝูหลินเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หม่อมฉันขอถวายการรับใช้กงจู่สุดกำลังเพคะ” ซู่เหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไท่จื่ออิ๋งหงทรงให้อาหารมัจฉาในวารีบนสะพานหินอ่อน แล้วทรงวางถ้วยอาหารปลาลง ทรงทอดพระเนตรยังท้องนภาด้วยความว่างเปล่า หวนนึกถึงที่ทรงพระสุบินเมื่อวันวาน ที่ไม่ทรงพระสุบินมานานเมื่อสามพันปี
ชายหนุ่มยื้อดอกบัวจากหญิงผู้หนึ่ง สู้กับเสือหิมะ มีหญิงผู้นั้นมาช่วย หญิงคนเดิมใช้ตัวบังธนู ธนูนั้นปักลงหลังนาง แต่ไม่เห็นใบหน้าของนาง
สิ่งที่ทำให้หลุดจากภวังค์คำนึง คือพระสุรเสียงของฉีเหวินหวางเย่ ไท่จื่ออิ๋งหงถวายบังคมหวางเย่ทันที
“อิ๋งหง เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ ข้าเรียกเจ้าสามครั้งเห็นจะได้”
“ไม่มีสิ่งใดพระเจ้าค่ะ” อิ๋งหงทรงตอบทันที
“เจ้าเป็นหลานชายคนเดียวของข้า มีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้ จงบอกอย่าเก็บงำ จำไว้”
“พระเจ้าค่ะ”
“จริงสิพรุ่งนี้ เซียนที่ขึ้นทะเบียนในปีนี้จะมาคารวะเจ้ารุ่งเช้า เป็นครั้งแรกที่เจ้าเลือกพวกเขาทำหน้าที่ตามเห็นสมควร”
“พระเจ้าค่ะ ซูสุไม่ไปทอดพระเนตรด้วยหรือพระเจ้าค่ะ” ไท่จื่อตรัสถาม (ซูสุ แปลว่า อาผู้ชาย)
“ข้าคงต้องขอตัว ข้าจะไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ที่แดนประจิม” หวางเย่ตรัสเช่นนี้ แล้วหุบพัด
“เช่นนั้น กระหม่อมขอตัวไปตรวจฎีกาพระเจ้าค่ะ”
“ตามสบาย” หวางเย่ตรัสเช่นนี้ ไท่จื่อบังคม แล้วเสด็จหลังกลับตำหนัก หนี่อู่จึงปรากฏกายขึ้นข้างๆ ฉีเหวินหวางเย่
“นั้นอิ๋งหง” หนี่อู่เอ่ยขึ้นเรียบเฉย
“พรุ่งนี้เขาเป็นคนประธานคัดเลือกเซียนทำตามหน้าที่เห็นสมควร แทนเทียนจวิน” ฉีเหวินหวางเย่ตรัสเรียบเฉยจึงกางพัดสุริยันจันทราพัดแผ่วเบา แต่หญิงสาวอารมณ์ขาวกับร้อนใจ
“เช่นนั้นฝูหลินนาง….” หนี่อู่จะเอ่ย แต่หวางเย่ตัดคำพูดไปก่อน
“หนี่อู่ ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลสิ่งใด ข้าและเจ้าฝืนโชคชะตาไม่ได้หรอก ส่วนเรื่องบุพเพนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง สิ่งใดจะเกิดก็ให้มันเถิด ข้าและเจ้าคอยดูพวกเขาสองคนห่างๆ ก็พอ”
